มะขาม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีไทย
มะขาม
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Plantae
ดิวิชั่น: Magnoliophyta
ชั้น: Liliopsida
อันดับ: Fabales
วงศ์: Fabaceae
สกุล: Tamarindus
สปีชีส์: T. indica
ชื่อทวินาม
Tamarindus indica
มะขาม เป็นไม้เขตร้อน มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกาแถบประเทศซูดาน ต่อมามีการนำเข้ามาในประเทศแถบเขตร้อนของเอเชีย และประเทศแถบละตินอเมริกา และในปัจจุบันมีมากในเม็กซิโก
ชื่อมะขามในภาคต่างๆ เรียก มะขามไทย ภาคกลาง ขาม ภาคใต้ ตะลูบ โคราช ม่วงโคล้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) อำเปียล เขมร จังหวัดสุรินทร์ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า tamarind ซึ่งมาจากภาษาอาหรับ:تمر هندي (tamr hindī) แปลว่า Indian date
มะขามเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมีคำขวัญประจำจังหวัดว่า "เมืองมะขามหวาน อุทยานน้ำหนาว ศรีเทพเมืองเก่า เขาค้ออนุสรณ์ นครพ่อขุนผาเมือง"
เนื้อหา [ซ่อน]
1 ลักษณะเฉพาะ
2 ประโยชน์
3 คติความเชื่อ
4 ชื่อเรียกในภาษาอื่น ๆ
[แก้]ลักษณะเฉพาะ
มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่แตกกิ่งก้านสาขามากไม่มีหนาม เปลือกต้นขรุขระและหนา สีน้ำตาลอ่อน ใบ เป็นใบประกอบ ใบเล็กออกตามกิ่งก้านใบเป็นคู่ ใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบมน ประกอบ ด้วยใบย่อย 10–15 คู่ แต่ละใบย่อยมีขนาดเล็ก กว้าง 2–5 มม. ยาว 1–2 ซม. ออกรวมกันเป็นช่อยาว 2–16 ซม. ดอก ออกตามปลายกิ่ง ดอกมีขนาดเล็ก กลีบดอกสีเหลืองและมีจุดประสีแดง/ม่วงแดงอยู่กลางดอก ผล เป็นฝักยาว รูปร่างยาวหรือโค้ง ยาว 3-20 ซม. ฝักอ่อนมีเปลือกสีเขียวอมเทา สีน้ำตาลเกรียม เนื้อในติดกับเปลือก เมื่อแก่ฝักเปลี่ยนเป็นเปลือกแข็งกรอบหักง่าย สีน้ำตาล เนื้อในกลายเป็นสีน้ำตาลหุ้มเมล็ด เนื้อมีรสเปรี้ยว และ/หรือหวาน ซึ่งฝักหนึ่ง ๆ จะมี/หุ้มเมล็ด 3–12 เมล็ด เมล็ดแก่จะแบนเป็นมัน และมีสีน้ำตาล
ใบของมะขามเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaves) ใบย่อยแต่ละใบแยกออกจากก้าน 2 ข้างของแกนกลาง คล้ายขนนก ถ้าปลายสุดของใบจะเป็นใบย่อยเพียงใบเดียวเรียก แบบขนนกคี่ (odd pinnate) เช่น กุหลาบ อัญชัน ก้ามปู ถ้าสุดปลายใบมี 2 ใบ เรียกแบบขนนกคู่ (even pinnate) เช่น มะขาม
การปลูกมะขาม ทำได้โดยเตรียมดินโดยขุดหลุมกว้าง ยาวและลึกด้านละ 60 ซม. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักคลุกเคล้าดินรองก้นหลุมเอากิ่งพันธุ์ลงปลูก รดน้ำให้ชุ่ม มะขามเมื่อลงดินแล้วจะโตเร็ว ควรใช้ไม้หลักพยุงไว้ให้แน่น และการบำรุงรักษาหลังเริ่มปลูก ควรเอาใจใส่ดายหญ้ารอบต้น และรดน้ำทุกวัน
[แก้]ประโยชน์
ส่วนที่ใช้เป็นยา : เนื้อในฝักแก่ (มะขามเปียก) เปลือกต้น (ทั้งสดหรือแห้ง) เนื้อในเมล็ด
สรรพคุณและวิธีใช้
แก้อาการท้องผูก ใช้เนื้อฝักแก่หรือมะขามเปียก 10–20 ฝัก (หนักประมาณ 70–150 กรัม) จิ้มกับเกลือรับประทาน หรือใส่เกลือเติมน้ำคั้นดื่ม
แก้อาการท้องเดิน ใช้เปลือกต้น ทั้งสดหรือแห้งประมาณ 1–2 กำมือ (15–30 กรัม) ต้มกับน้ำปูนใสหรือน้ำรับประทาน
ถ่ายพยาธิลำไส้ ใช้เมล็ดคั่วกะเทาะเปลือกเอาออกเนื้อในเมล็ดแช่น้ำเกลือจนนุ่ม รับประทานครั้งละ 20–30 เมล็ด เหมาะสำหรับถ่ายพยาธิไส้เดือน
แก้ไอขับเสมหะ ใช้เนื้อในฝักแก่หรือมะขามเปียกจิ้มเกลือรับประทาน
การขยายพันธุ์ : นิยมขยายพันธุ์โดยการทาบกิ่ง ติดตาหรือต่อกิ่ง เพราะได้ผลเร็วและลดการกลายพันธุ์
สภาพดินฟ้าอากาศ : ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิดแม้แต่ดินเลว เช่นดินลูกรัง เจริญได้ดีในดินร่วนปนดินเหนียว ทนแล้งได้ดี ฤดูปลูกที่เหมาะสม คือต้นฤดูฝน
ควรหาเศษหญ้าฟางคลุมโคนจนกว่าต้นจะแข็งแรง ควรฉีดยาป้องกันโรคราแป้งและแมลงพวกหนอนเจาะฝัก ด้วงเจาะเมล็ด ในระยะที่เป็นดอกอยู่
คุณค่าทางโภชนาการ : ยอดอ่อนและฝักอ่อนมีวิตามิน เอ มาก มะขามเปียกรสเปรี้ยว ทำให้ชุ่มคอ ลดความร้อนของร่างกายได้ดี เนื้อในฝักมะขามที่แก่จัด เรียกว่า "มะขามเปียก" ประกอบด้วยกรดอินทรีย์หลายตัว เช่น กรดทาร์ททาร์ริค กรดซิตริค เป็นต้น ทำให้ออกฤทธิ์ ระบายและลดความร้อนของร่างกายลงได้ แพทย์ไทยเชื่อว่า รสเปรี้ยวนี้จะกัดเสมหะให้ละลายได้ด้วย
มะขามเปียกอุดมด้วยกรดอินทรีย์ อาทิ กรดซิตริค (Citric Acid) กรดทาร์ทาริค(Tartaric Acid) หรือกรดมาลิค(Malic Acid) เป็นต้น มีคุณสมบัติชำระล้างความสกปรกรูขุมขน คราบไขมันบนผิวหนังได้ดีมาก
[แก้]คติความเชื่อ
ตามตำราพรหมชาติฉบับหลวง ถือว่ามะขามเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ทางทิศตะวันตก (ประจิม) ของบ้าน เพื่อป้องกันสิ่งไม่ดี ผีร้ายมิให้มากล้ำกลาย อีกทั้งต้นมะขามยังเป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม ถือกันเป็นเคล็ดว่าจะทำให้มีแต่คนเกรงขาม
[แก้]ชื่อเรียกในภาษาอื่น ๆ
ภาษา ชื่อเรียก
ทมิฬ ปูลี,ปูลิ
ฝรั่งเศส ตามารีนีเยร์ (Tamarinier)
มลายู อาซาม
เยอรมัน ทามาราย
ลาว มอลขาม
สเปน ทามารินโด
สิงหล สยามบาลา
อังกฤษแถบฟลอริดา มะนิลา สวีท
อิตาลี ทามารินโด
อินเดีย อะมะลา, อะมะลิกา
อินโดนีเซีย อาซาม
จีน ซวนโต้ว
วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555
มะนาว : สวยได้ เปรี้ยวด้วย
เคล็ดลับความสวยของเราคราวนี้ หาได้ในครัวอีกเช่นเดิมค่ะ ไม่ใกล้ไม่ไกลอย่าง “มะนาว” ไงคะ มะนาวลูกเดียวช่วยให้เราสวยได้ ทั้ง หน้า ผม เล็บ กันเลย แต่จะทำอะไรได้บ้างนั้น เรามาดูกันเลยค่ะ
ในน้ำมะนาวนั้นนอกจากจะมีกรดอ่อนๆ ที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวใหม่แล้ว ยังมีวิตามินซีสูงอีกด้วยนะคะ เพราะฉะนั้น สาวคนไหนที่มีปัญหาเกี่ยวกับสิว หน้ามัน หรือหน้าตาหมองคล้ำเกินกว่าวัย น้ำมะนาวเป็นทางออกที่เหมาะสมกับสาวๆ กลุ่มนี้มากเลยค่ะ และเรามาสามารถประยุกต์น้ำมะนาวใช้แทนเครื่องสำอางค์หลายๆ ตัวได้ด้วยค่ะ
แต่ถึงมะนาวจะมาจากธรรมชาติ ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้กันทุกคนนะคะ เพราะสาวๆ ที่ มีผิวหน้าบาง แพ้ง่าย หากรู้สึกแสบหน้าหรือผิวกาย หน้าเริ่มแดง ไม่ควรใช้น้ำผสมน้ำมะนาวล้างหน้า และไม่ควรพอกหน้าในสูตรที่ใช้น้ำมะนาวบ่อยๆ เพราะจะยิ่งทำให้หน้าแพ้ง่ายขึ้นเมื่อโดนแสงแดด ผิวบางลง คราวนี้แทนที่จะสวย อาจต้องเสียเงินไปหาหมอแทนนะคะ ใช้ให้ถูกสูตร ที่เหมาะกับหน้าเราค่ะ
โทนเนอร์น้ำมะนาว
การใช้น้ำมะนาวล้างหน้านี้ ใช้แทนโทนเนอร์ได้เลยค่ะ โดยใช้น้ำมะนาว 1 ผล ผสมน้ำอุ่นสำหรับล้างหน้า และน้ำเย็น ล้างหน้าให้สะอาดและล้างครั้งสุดท้ายด้วยน้ำอุ่น ใช้ผ้าซับหน้าให้แห้ง และใช้มะนาวแช่เย็นทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น และใช้น้ำเย็นล้างหน้าอีกครั้ง สูตรนี้นอกจากจะเป็นการกระชับรูขุมขนแล้ว ยังช่วยให้เร่งให้มีการผลัดเซลล์ผิวอย่างธรรมชาติอีกด้วยค่ะ
น้ำมะนาวแต้มสิว
สูตรแต้มสิวด้วยน้ำมะนาวเป็นตัวเอกนี้ ให้ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมส่วนผสมทั้งสองมาผสมกันและตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วแต้มที่ตุ่มสิวทิ้งไว้ 30 นาที ล้างออกด้วยโฟมหรือเจลล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ทำบ่อยๆ ประมาณ 1 เดือนสิวจะเริ่มลดลงและหายไปในที่สุดค่ะ ง่ายๆ แค่นี้ เจลแต้มสิวที่ไหนก็ชิดซ้ายค่ะ
สครับมะนาว…ขาวกระจ่างใส
สูตรนี้เหมาะสำหรับขัดผิวกายเท่านั้นนะคะ เพราะหากใช้กับใบหน้าตามสูตรนี้อาจจะแรงไปค่ะ และเหมาะสำหรับคนผิวมันด้วยค่ะ ใครที่ผิวแห้ง ข้ามสูตรนี้ไปก่อนนะคะ ไม่อย่านั้นผิวแห้งกันไปใหญ่ ไม่ดีแน่ๆ ค่ะ สูตรนี้นอกจากน้ำมะนาวตัวเอกแล้ว ก็ยังมีน้ำมันมะกอก และเกลือทะเลด้วยค่ะ เลือกที่บดไม่ต้องละเอียดมาก เพื่อจะได้มีเม็ดสครับที่พอเหมาะค่ะ
เริ่มง่ายๆ ด้วยการนำเกลือมาผสมกับน้ำมันมะกอกกะเอาให้พอเหมาะกับขนาดรูปร่างเรานะคะ พอหนืดๆ อย่าให้เหลวไปค่ะ จากนั้นเติมน้ำมะนาวลงไปกะดูให้พอเข้มข้นพอ คนให้เข้ากันแล้วทำการสครับได้เลยค่ะ โดยเกลือจะทำหน้าที่ลอกผิวหนังที่ตายแล้วและทำความสะอาดผิวได้เป็นอย่างดี ส่วนน้ำมะกอกทำให้ผิวเกิดความชุ่มชื่น และน้ำมะนาวนี่เองที่ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น แต่ไม่ควรผสมเยอะเกินไปเพราะน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้เกิดการระคายเคือง ได้ค่ะ
เล็บสวยด้วยมะนาว
น้ำมะนาวก็ช่วยให้เล็บเราสวยและแข็งแรงได้นะคะ วิธีการก็ง่ายแสนง่ายค่ะ แค่ฝานมะนาวพร้อมเปลือกออกเป็นซีกๆ แล้วเอามาขัดๆ ถูๆ ทำความสะอาดตามเล็บมือเล็บเท้าของเราค่ะ ถูไล่ไปตั้งแต่ผิวเล็บ ตลอดจนทุกซอกทุกมุมของเล็บเรา สูตรนี้ทำบ่อยๆ ได้ค่ะ เพราะเล็บเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว ไม่มีอาการแพ้แน่นอน รับรองว่าใครที่มีเล็บเหลืองจากการทาเล็บแบบไม่มีพัก จะได้เล็บขาวใสสวยๆ กลับคืนมาแน่นอนค่ะ
น้ำมะนาวนอกจากจะอร่อย อุดมด้วยวิตามินซี ยังเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความงามขอสาวๆ ได้อีกด้วย อ่านแล้วก็อย่าลืมไปสำรวจมะนาวในครัวดูนะคะว่ามีเหลืออยู่กี่ลูก และจะสวยอะไรก่อนดี?
เคล็ดลับความสวยของเราคราวนี้ หาได้ในครัวอีกเช่นเดิมค่ะ ไม่ใกล้ไม่ไกลอย่าง “มะนาว” ไงคะ มะนาวลูกเดียวช่วยให้เราสวยได้ ทั้ง หน้า ผม เล็บ กันเลย แต่จะทำอะไรได้บ้างนั้น เรามาดูกันเลยค่ะ
ในน้ำมะนาวนั้นนอกจากจะมีกรดอ่อนๆ ที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวใหม่แล้ว ยังมีวิตามินซีสูงอีกด้วยนะคะ เพราะฉะนั้น สาวคนไหนที่มีปัญหาเกี่ยวกับสิว หน้ามัน หรือหน้าตาหมองคล้ำเกินกว่าวัย น้ำมะนาวเป็นทางออกที่เหมาะสมกับสาวๆ กลุ่มนี้มากเลยค่ะ และเรามาสามารถประยุกต์น้ำมะนาวใช้แทนเครื่องสำอางค์หลายๆ ตัวได้ด้วยค่ะ
แต่ถึงมะนาวจะมาจากธรรมชาติ ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้กันทุกคนนะคะ เพราะสาวๆ ที่ มีผิวหน้าบาง แพ้ง่าย หากรู้สึกแสบหน้าหรือผิวกาย หน้าเริ่มแดง ไม่ควรใช้น้ำผสมน้ำมะนาวล้างหน้า และไม่ควรพอกหน้าในสูตรที่ใช้น้ำมะนาวบ่อยๆ เพราะจะยิ่งทำให้หน้าแพ้ง่ายขึ้นเมื่อโดนแสงแดด ผิวบางลง คราวนี้แทนที่จะสวย อาจต้องเสียเงินไปหาหมอแทนนะคะ ใช้ให้ถูกสูตร ที่เหมาะกับหน้าเราค่ะ
โทนเนอร์น้ำมะนาว
การใช้น้ำมะนาวล้างหน้านี้ ใช้แทนโทนเนอร์ได้เลยค่ะ โดยใช้น้ำมะนาว 1 ผล ผสมน้ำอุ่นสำหรับล้างหน้า และน้ำเย็น ล้างหน้าให้สะอาดและล้างครั้งสุดท้ายด้วยน้ำอุ่น ใช้ผ้าซับหน้าให้แห้ง และใช้มะนาวแช่เย็นทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น และใช้น้ำเย็นล้างหน้าอีกครั้ง สูตรนี้นอกจากจะเป็นการกระชับรูขุมขนแล้ว ยังช่วยให้เร่งให้มีการผลัดเซลล์ผิวอย่างธรรมชาติอีกด้วยค่ะ
น้ำมะนาวแต้มสิว
สูตรแต้มสิวด้วยน้ำมะนาวเป็นตัวเอกนี้ ให้ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมส่วนผสมทั้งสองมาผสมกันและตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วแต้มที่ตุ่มสิวทิ้งไว้ 30 นาที ล้างออกด้วยโฟมหรือเจลล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ทำบ่อยๆ ประมาณ 1 เดือนสิวจะเริ่มลดลงและหายไปในที่สุดค่ะ ง่ายๆ แค่นี้ เจลแต้มสิวที่ไหนก็ชิดซ้ายค่ะ
สครับมะนาว…ขาวกระจ่างใส
สูตรนี้เหมาะสำหรับขัดผิวกายเท่านั้นนะคะ เพราะหากใช้กับใบหน้าตามสูตรนี้อาจจะแรงไปค่ะ และเหมาะสำหรับคนผิวมันด้วยค่ะ ใครที่ผิวแห้ง ข้ามสูตรนี้ไปก่อนนะคะ ไม่อย่านั้นผิวแห้งกันไปใหญ่ ไม่ดีแน่ๆ ค่ะ สูตรนี้นอกจากน้ำมะนาวตัวเอกแล้ว ก็ยังมีน้ำมันมะกอก และเกลือทะเลด้วยค่ะ เลือกที่บดไม่ต้องละเอียดมาก เพื่อจะได้มีเม็ดสครับที่พอเหมาะค่ะ
เริ่มง่ายๆ ด้วยการนำเกลือมาผสมกับน้ำมันมะกอกกะเอาให้พอเหมาะกับขนาดรูปร่างเรานะคะ พอหนืดๆ อย่าให้เหลวไปค่ะ จากนั้นเติมน้ำมะนาวลงไปกะดูให้พอเข้มข้นพอ คนให้เข้ากันแล้วทำการสครับได้เลยค่ะ โดยเกลือจะทำหน้าที่ลอกผิวหนังที่ตายแล้วและทำความสะอาดผิวได้เป็นอย่างดี ส่วนน้ำมะกอกทำให้ผิวเกิดความชุ่มชื่น และน้ำมะนาวนี่เองที่ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น แต่ไม่ควรผสมเยอะเกินไปเพราะน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้เกิดการระคายเคือง ได้ค่ะ
เล็บสวยด้วยมะนาว
น้ำมะนาวก็ช่วยให้เล็บเราสวยและแข็งแรงได้นะคะ วิธีการก็ง่ายแสนง่ายค่ะ แค่ฝานมะนาวพร้อมเปลือกออกเป็นซีกๆ แล้วเอามาขัดๆ ถูๆ ทำความสะอาดตามเล็บมือเล็บเท้าของเราค่ะ ถูไล่ไปตั้งแต่ผิวเล็บ ตลอดจนทุกซอกทุกมุมของเล็บเรา สูตรนี้ทำบ่อยๆ ได้ค่ะ เพราะเล็บเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว ไม่มีอาการแพ้แน่นอน รับรองว่าใครที่มีเล็บเหลืองจากการทาเล็บแบบไม่มีพัก จะได้เล็บขาวใสสวยๆ กลับคืนมาแน่นอนค่ะ
น้ำมะนาวนอกจากจะอร่อย อุดมด้วยวิตามินซี ยังเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความงามขอสาวๆ ได้อีกด้วย อ่านแล้วก็อย่าลืมไปสำรวจมะนาวในครัวดูนะคะว่ามีเหลืออยู่กี่ลูก และจะสวยอะไรก่อนดี?
สรรพคุณ และ ประโยชน์ของบวบ
สรรพคุณของบวบ และประโยชน์ของบวบมีมากมายจริงนะค่ะ และวันนี้ที่เราจะนำความรู้และ ประโยชน์ของบวบ มาบอกแก่คุณ ๆ ที่สนใจอีกด้วยนะค่ะ และบวบที่เรานำมาในวันนี้จะเป็น บวบเหลี่ยม ที่คุณพ่อบ้านแม่บ้านมักจะนิยมนำมาทำอาหาร อาทิเช่น บวบผัดไข่ แกงเลียง ฯลฯ ซึ่ง สรรพคุณของบวบ นั้นมีฤทธิ์เป็นยารักษาโรคได้อีกด้วยค่ะจึงจัดได้ว่า สรรพของบวบ ก็เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรด้วยนะค่ะ นั้นวันนี้เรามาดู สรรพคุณของบวบ และ ประโยชน์ของบวบ กันดีกว่าค่ะว่าจะช่วยในด้านสุขภาพร่างกายของเราอย่างไรกันบ้าง และส่วนที่มักจะนำมาปรุงเป็นยาก็จะมี ใบ ดอก ผล เปลือกผล ขั้วผล เมล็ด เถา น้ำจากจากเถาและรากค่ะ
สรรพคุณ / ประโยชน์ของบวบ
คุณค่าอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัมประกอบด้วย พลังงาน 18 กิโลแคลอรี น้ำ 95.4 กรัม โปรตีน 0.7 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.3 กรัม แคลเซียม 5 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 24 มิลลิกรัม เหล็ก 0.7 มิลลิกรัม วิตามินเอ 5 ไมโครกรัม และวิตามินซี 15 มิลลิกรัม ใบบวบเหลี่ยมใช้ต้มดื่ม ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ขับเสมหะ ถอนพิษไข้ แก้ริดสีดวงทวาร ถอนพิษแมลงกัดต่อย แก้คัน ผลบวบบำรุงร่างกาย ลดไข้ แก้ร้อนใน ระบายท้อง ขับเสมหะทำให้ชุ่มคอ รากใช้ต้มดื่มแก้อาการบวมน้ำ ระบายท้อง
ข้อมูลทางเภสัชวิทยา
- เมล็ด ที่มีรสขมจะมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายและมีฤทธิ์ทำให้อาเจียน ท้องเสีย และทำให้ท้องเสียอย่างรุนแรงเนื่องจากมีสาร elaterin ที่ทำให้ถ่าย
- ราก ก็มีฤทธิ์ทำให้ถ่ายได้เช่นกัน สำหรับสารพวกซาโปนิน (saponins)
- ใยผลของบวบเหลี่ยม สามารถใช้สระผมเพื่อรักษารังแคได้
- เมล็ดบวบเหลี่ยมชนิดขมที่แกะเปลือกออกแล้ว ใช้กินเป็นยาหล่อลื่นลำไส้หรือใช้รักษาโรคบิดแทน ipecacuanha ได้ดี และยังขับเสมหะ แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ส่วนน้ำมันที่บีบได้จากเมล็ดใช้ทารักษาโรคผิวหนัง นอกจากนี้ในเมล็ดยังมีสารไขมันประมาณ 37.5% โปรตีนประมาณ 33.4% และจะประกอบด้วยกรดอมิโนด้วย และเมล็ดบวบที่มีรสขมจะมีสาร cucurbitacin B 0.12% น้ำมันประมาณ 18.4% กรดไขมันอิ่มตัวประมาณ 19.34% unsaponified matters 1.5% กรดไขมันไม่อิ่มตัวประมาณ 80.3% กรดไขมัน ได้แก่ stearic acid, palmitic acid, linoleic, acid, oleic acid และ lignoceric acid เล็กน้อย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก rdi samunpri ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต
สรรพคุณของบวบ และประโยชน์ของบวบมีมากมายจริงนะค่ะ และวันนี้ที่เราจะนำความรู้และ ประโยชน์ของบวบ มาบอกแก่คุณ ๆ ที่สนใจอีกด้วยนะค่ะ และบวบที่เรานำมาในวันนี้จะเป็น บวบเหลี่ยม ที่คุณพ่อบ้านแม่บ้านมักจะนิยมนำมาทำอาหาร อาทิเช่น บวบผัดไข่ แกงเลียง ฯลฯ ซึ่ง สรรพคุณของบวบ นั้นมีฤทธิ์เป็นยารักษาโรคได้อีกด้วยค่ะจึงจัดได้ว่า สรรพของบวบ ก็เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรด้วยนะค่ะ นั้นวันนี้เรามาดู สรรพคุณของบวบ และ ประโยชน์ของบวบ กันดีกว่าค่ะว่าจะช่วยในด้านสุขภาพร่างกายของเราอย่างไรกันบ้าง และส่วนที่มักจะนำมาปรุงเป็นยาก็จะมี ใบ ดอก ผล เปลือกผล ขั้วผล เมล็ด เถา น้ำจากจากเถาและรากค่ะ
สรรพคุณ / ประโยชน์ของบวบ
คุณค่าอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัมประกอบด้วย พลังงาน 18 กิโลแคลอรี น้ำ 95.4 กรัม โปรตีน 0.7 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.3 กรัม แคลเซียม 5 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 24 มิลลิกรัม เหล็ก 0.7 มิลลิกรัม วิตามินเอ 5 ไมโครกรัม และวิตามินซี 15 มิลลิกรัม ใบบวบเหลี่ยมใช้ต้มดื่ม ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ขับเสมหะ ถอนพิษไข้ แก้ริดสีดวงทวาร ถอนพิษแมลงกัดต่อย แก้คัน ผลบวบบำรุงร่างกาย ลดไข้ แก้ร้อนใน ระบายท้อง ขับเสมหะทำให้ชุ่มคอ รากใช้ต้มดื่มแก้อาการบวมน้ำ ระบายท้อง
ข้อมูลทางเภสัชวิทยา
- เมล็ด ที่มีรสขมจะมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายและมีฤทธิ์ทำให้อาเจียน ท้องเสีย และทำให้ท้องเสียอย่างรุนแรงเนื่องจากมีสาร elaterin ที่ทำให้ถ่าย
- ราก ก็มีฤทธิ์ทำให้ถ่ายได้เช่นกัน สำหรับสารพวกซาโปนิน (saponins)
- ใยผลของบวบเหลี่ยม สามารถใช้สระผมเพื่อรักษารังแคได้
- เมล็ดบวบเหลี่ยมชนิดขมที่แกะเปลือกออกแล้ว ใช้กินเป็นยาหล่อลื่นลำไส้หรือใช้รักษาโรคบิดแทน ipecacuanha ได้ดี และยังขับเสมหะ แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ส่วนน้ำมันที่บีบได้จากเมล็ดใช้ทารักษาโรคผิวหนัง นอกจากนี้ในเมล็ดยังมีสารไขมันประมาณ 37.5% โปรตีนประมาณ 33.4% และจะประกอบด้วยกรดอมิโนด้วย และเมล็ดบวบที่มีรสขมจะมีสาร cucurbitacin B 0.12% น้ำมันประมาณ 18.4% กรดไขมันอิ่มตัวประมาณ 19.34% unsaponified matters 1.5% กรดไขมันไม่อิ่มตัวประมาณ 80.3% กรดไขมัน ได้แก่ stearic acid, palmitic acid, linoleic, acid, oleic acid และ lignoceric acid เล็กน้อย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก rdi samunpri ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต
สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะกรูด
มะกรูด คงจะไม่มีใครไม่รู้จักกับสมุนไพรชนิดนี้ใช่ไหมค่ะ ในสรรพคุณและประโยชน์ของมะกรูดนั้นเรียกได้ว่ามีมากมาย และที่โด่งดังเห็นทีจะเป็นในเรื่องของ สรรพคุณของมะกรูด ที่ใช้ในการรักษาเส้นผมให้สวย ดกดำ และเงางาม รวมถึงดูแลหนังศรีษะให้สุขภาพดีเนี่ยแหละค่ะ เห็นไม่คุ่ะว่า ประโยชน์ของมะกรูด มีมากจริง ๆ แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะค่ะ เพราะ สรรพคุณของมะกรูด และ ประโยชน์ของมะกรูด มีมากเหลือเกิน เราจึงก็รวบรวมความรู้เกี่ยวกับ สรรพคุณของมะกรูด และ ประโยชน์ของมะกรูด มาบอกคุณ ๆ ที่มักจะใช้มะกรูดและกำลังคิดจะใช้สมุนไพรตัวนี้ในการรักษาโรคต่าง ๆ รวมถึงนำมาปรุงอาหารอีกด้วยนะค่ะ นั้นเราก็มาดูสรรพคุณของมะกรูดและประโยชน์ของมะกรูดกันเลยค่ะ
สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะกรูด
ขับลมแก้จุกเสียด วิธีใช้
1. ตัดจุกผลมะกรูดคว้านไส้กลางออกเอามหาหิงส์ใส่แล้วปิดจุก นำไปเผาไฟจนดำเกรียมบดเป็นผงละลายกับน้ำผึ้งรับประทาน จะช่วยขับลม แก้ปวดท้องหรือป้ายลิ้นเด็กอ่อน เป็นยาขับขี้เทาได้
2. น้ำมะกรูดใช้ถูกฟัน แก้เลือดออกตามไรฟัน
3. เอาผลมะกรูดมาดอง เป็นยาดองเปรี้ยวรับประทานขับลมขับระดู
4. เปลือกผลฝานบาง ๆ ชงน้ำเดือดใส่การะบูรเล็กน้อย รับประทานแก้ลมวิงเวียน
5. เปลือกฝนใช้ผสมในเครื่องสำอางบางชนิด เช่น แชมพู สบู (เชษฐา, 2525)
ขนาดการใช้และผลที่ได้รับจากการรักษาโรค
- แก้ลม บำรุงหัวใจ ใช้ผิวสดหั่นเป็นชิ้น ผสมการะบูรหนึ่งหยิบมือ ชงน้ำเดือด คนให้ละลาย ปิดฝาทิ้งไว้ 3 – 5 นาที ดื่มเอาแต่น้ำ ช่วยให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดี
- ยาขับเสมหะ แก้ไอ ใช้ผลมะกรูดผ่าซีกเติมเกลือลนไฟให้เปลือกนิ่มบีบน้ำมะกรูดลงในคอทีละน้อย ๆ
- เป็นยาสระผมหรืออาบ นำมะกรูดผ่าซีกลงในหม้อต้มอาบได้น้ำมันหอมระเหยอยู่บนผิวทำให้ผิวไม่แห้ง และรสเปรี้ยวของมะกรูดช่วยให้อาบสะอาดนอกจากนี้ใช้มะกรูดผ่าซีกเอาน้ำมาสระผม
นอกจากมะกรูดจะยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ได้ดีแล้วยังมีรายงานว่าน้ำมันจากใบมะกรูดจะกระตุ้นการเจริญของเชื้อราบางชนิดได้อีกด้วย เช่น กระตุ้นการสร้างเส้นใยของราพวกมูเคอร์ อัลเทอร์นาเรีย แอสเปอร์จิลลัส และกระตุ้นการสร้างสปอร์ของแอสเปอร์จิลลัส (บัญญัติ, 2527)
สารเคมีที่สำคัญ
สารเคมีที่สำคัญที่พบในมะกรูดนี้จะอยู่ในส่วนของน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีทั้งในส่วนใบและเปลือกของผลที่เรียกว่า ผิวมะกรูด โดยที่ผิวมะกรูดจะมีน้ำมันหอมระเหย 4 เปอร์เซ็นต์ และใบจะมีน้ำมันหอมระเหย 0.08 เปอร์เซ็นต์
มะกรูดเป็นพืชเครื่องเทศและพืชสมุนไพรมนุษย์ได้รู้จักนำเอาประโยชน์ที่ได้รับจากมะกรูดเป็นยารักษาโรคหรือส่วนผสมของยา ช่วยแก้อาการท้องอืด ช่วยให้เจริญอาหาร ใช้ดองยาเพื่อใช้ฟอกเลือดและบำรุงโลหิตสตรี เนื้อของผลใช้เป็นยาแก้อาการปวดศีรษะและระงับการไอ ส่วนใบใช้ในการดับกลิ่นคาวในอาหารใช้เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด และผลมะกรูดที่คว้านไส้ออกนำมหาหิงค์ใส่แทนใช้เป็นยาแก้ปวดท้องในเด็กอ่อน ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องหอมและเครื่องสำอางและน้ำของมะกรูดมีกรด Citric ช่วยขจัดคราบสบู่ (ด่าง) ที่หลงเหลืออยู่ น้ำมันจากผิวมะกรูดช่วยให้ผมดกเป็นเงางาม นอกจากนี้ผิวมะกรูดจะมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ต่าง ๆ ได้ เพื่อกำจัดรังแคที่มาจากเชื้อรา
ขอขอบคุณข้อมูลจาก learners ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต
มะกรูด คงจะไม่มีใครไม่รู้จักกับสมุนไพรชนิดนี้ใช่ไหมค่ะ ในสรรพคุณและประโยชน์ของมะกรูดนั้นเรียกได้ว่ามีมากมาย และที่โด่งดังเห็นทีจะเป็นในเรื่องของ สรรพคุณของมะกรูด ที่ใช้ในการรักษาเส้นผมให้สวย ดกดำ และเงางาม รวมถึงดูแลหนังศรีษะให้สุขภาพดีเนี่ยแหละค่ะ เห็นไม่คุ่ะว่า ประโยชน์ของมะกรูด มีมากจริง ๆ แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะค่ะ เพราะ สรรพคุณของมะกรูด และ ประโยชน์ของมะกรูด มีมากเหลือเกิน เราจึงก็รวบรวมความรู้เกี่ยวกับ สรรพคุณของมะกรูด และ ประโยชน์ของมะกรูด มาบอกคุณ ๆ ที่มักจะใช้มะกรูดและกำลังคิดจะใช้สมุนไพรตัวนี้ในการรักษาโรคต่าง ๆ รวมถึงนำมาปรุงอาหารอีกด้วยนะค่ะ นั้นเราก็มาดูสรรพคุณของมะกรูดและประโยชน์ของมะกรูดกันเลยค่ะ
สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะกรูด
ขับลมแก้จุกเสียด วิธีใช้
1. ตัดจุกผลมะกรูดคว้านไส้กลางออกเอามหาหิงส์ใส่แล้วปิดจุก นำไปเผาไฟจนดำเกรียมบดเป็นผงละลายกับน้ำผึ้งรับประทาน จะช่วยขับลม แก้ปวดท้องหรือป้ายลิ้นเด็กอ่อน เป็นยาขับขี้เทาได้
2. น้ำมะกรูดใช้ถูกฟัน แก้เลือดออกตามไรฟัน
3. เอาผลมะกรูดมาดอง เป็นยาดองเปรี้ยวรับประทานขับลมขับระดู
4. เปลือกผลฝานบาง ๆ ชงน้ำเดือดใส่การะบูรเล็กน้อย รับประทานแก้ลมวิงเวียน
5. เปลือกฝนใช้ผสมในเครื่องสำอางบางชนิด เช่น แชมพู สบู (เชษฐา, 2525)
ขนาดการใช้และผลที่ได้รับจากการรักษาโรค
- แก้ลม บำรุงหัวใจ ใช้ผิวสดหั่นเป็นชิ้น ผสมการะบูรหนึ่งหยิบมือ ชงน้ำเดือด คนให้ละลาย ปิดฝาทิ้งไว้ 3 – 5 นาที ดื่มเอาแต่น้ำ ช่วยให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดี
- ยาขับเสมหะ แก้ไอ ใช้ผลมะกรูดผ่าซีกเติมเกลือลนไฟให้เปลือกนิ่มบีบน้ำมะกรูดลงในคอทีละน้อย ๆ
- เป็นยาสระผมหรืออาบ นำมะกรูดผ่าซีกลงในหม้อต้มอาบได้น้ำมันหอมระเหยอยู่บนผิวทำให้ผิวไม่แห้ง และรสเปรี้ยวของมะกรูดช่วยให้อาบสะอาดนอกจากนี้ใช้มะกรูดผ่าซีกเอาน้ำมาสระผม
นอกจากมะกรูดจะยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ได้ดีแล้วยังมีรายงานว่าน้ำมันจากใบมะกรูดจะกระตุ้นการเจริญของเชื้อราบางชนิดได้อีกด้วย เช่น กระตุ้นการสร้างเส้นใยของราพวกมูเคอร์ อัลเทอร์นาเรีย แอสเปอร์จิลลัส และกระตุ้นการสร้างสปอร์ของแอสเปอร์จิลลัส (บัญญัติ, 2527)
สารเคมีที่สำคัญ
สารเคมีที่สำคัญที่พบในมะกรูดนี้จะอยู่ในส่วนของน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีทั้งในส่วนใบและเปลือกของผลที่เรียกว่า ผิวมะกรูด โดยที่ผิวมะกรูดจะมีน้ำมันหอมระเหย 4 เปอร์เซ็นต์ และใบจะมีน้ำมันหอมระเหย 0.08 เปอร์เซ็นต์
มะกรูดเป็นพืชเครื่องเทศและพืชสมุนไพรมนุษย์ได้รู้จักนำเอาประโยชน์ที่ได้รับจากมะกรูดเป็นยารักษาโรคหรือส่วนผสมของยา ช่วยแก้อาการท้องอืด ช่วยให้เจริญอาหาร ใช้ดองยาเพื่อใช้ฟอกเลือดและบำรุงโลหิตสตรี เนื้อของผลใช้เป็นยาแก้อาการปวดศีรษะและระงับการไอ ส่วนใบใช้ในการดับกลิ่นคาวในอาหารใช้เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด และผลมะกรูดที่คว้านไส้ออกนำมหาหิงค์ใส่แทนใช้เป็นยาแก้ปวดท้องในเด็กอ่อน ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องหอมและเครื่องสำอางและน้ำของมะกรูดมีกรด Citric ช่วยขจัดคราบสบู่ (ด่าง) ที่หลงเหลืออยู่ น้ำมันจากผิวมะกรูดช่วยให้ผมดกเป็นเงางาม นอกจากนี้ผิวมะกรูดจะมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ต่าง ๆ ได้ เพื่อกำจัดรังแคที่มาจากเชื้อรา
ขอขอบคุณข้อมูลจาก learners ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต
น้ำมันมะพร้าวช่วยผิวสวย
ในบรรดาสิ่งของสารพัดที่สาวๆ เราพยามยามเฝ้าสรรหามาบำรุงผิว เราเคยถามตัวเองไหมคะว่า มันน่าจะมีอะไรที่บำรุงผิวเราได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาบรรดาสารเคมี บรรดาเครื่องสำอางต่างๆ ที่โฆษณาออกทีวีืหรือเห็นกันในนิตยสารมากมายที่ผ่านสายตาเรา ที่ถึงแม้เราจะเชื่อว่ามีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ด้วยความที่เราก็ไม่ได้รู้จักคนผลิตสักเท่าไร เราจะทราบได้อย่างไรว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะดีกับเราจริงๆ บทความนี้จะนำให้เพื่อนๆ รู้จักกับของที่เรามีอยู่และปลอดภัยในการใช้กับผิวแน่นอนมาให้ได้ใช้กัน ติดตามกันนะคะ
ถ้าจะถามว่า หากเราไม่ใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ขายกันอยู่อย่างดาษดื่นทุกวันนี้ แล้วเราจะไปใช้อะไร เราอาจจะเปลี่ยนคำถามใหม่สักหน่อยเป็นว่า "แล้วเมื่อก่อน คุณทวด คุณยายเรา ใช้อะไรในการบำรุงผิวกันล่ะ ถึงได้สวยได้เหมือนๆ กับเราที่สรรหาของสารพัดอย่างมาใช้กันอย่างยากเย็นเช่นทุกวันนี้" นั่นแน่ สาวๆ อาจจะต้องคิดว่าอยู่ดีๆ Womanandkid จะชวนถอยหลังย้อนยุคโบราณกันแน่แท้ แต่ช้าก่อนค่ะ เพราะของบางอย่างที่เป็นความรู้โบราณนี่แหละค่ะที่ได้รับการนำมาใช้ในโลกสมัยใหม่ เพียงแต่ว่าในขั้นตอนบางอย่างหรือการผสมสารเคมีบางอย่าง อาจจะนำมาหรือมีผลที่ไม่ดีตามมาได้ การย้อนไปใช้ในสิ่งที่เรารู้และเข้าใจมันจริงๆ บางทีก็น่าจะดีกว่าและปลอดภัยกว่า จริงไหมล่ะคะ
จะแปลกใจไหมล่ะคะถ้าจะบอกว่า ในสมัยคุณย่าคุณยายสวยๆ ของเรา (อ้าว ท่านก็ต้องสวยสิ ไม่อย่างนั้นจะทำให้เราสวยกันแบบนี้ได้หรือ จริงไหมคะ) ท่านรู้จักการใช้ของที่หาได้ใกล้ตัวหรือแม้กระทั่งจากในครัวนี่ล่ะค่ะมาบำรุงผิว สิ่งหนึ่งที่น่าฉงนกันสำหรับผู้ที่ไม่ทราบมาก่อนก็คือ "น้ำมันมะพร้าว" นี่ล่ะค่ะ (ถ้าจะบอกให้คลายความสงสัยลงสักนิด ก็คงต้องบอกว่า แม้แต่ในเครื่องสำอางปัจจุบัน ก็ยังคงมีการนำน้ำมันมะพร้าวมาเป็นส่วนผสมอยู่เช่นกัน แสดงว่าเป็นของดีมีประโยชน์จริงๆ ไงคะ) นอกจากน้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้ผิวสวยได้ด้วยการรับประทานในปริมาณเล็กน้อยแล้ว (อ่านรายละเอียดในบทความ "อาหารช่วยให้ผิวสวย" คลิกที่นี่) น้ำมันมะพร้าวยังมีคุณสมบัติในการดูดซึมลงผิวได้ดี ทำให้ผิวดูนุ่มนวลสดชื่นในขณะที่ช่วยต่อสู้อาการอักเสบของผิวได้ด้วย นอกจากการใช้กับผิว การทาหรือชะโลมน้ำมันมะพร้าวลงบนผมก่อนการสระก็จะเป็นการปรับสภาพเส้นผมได้ดีอย่างหนึ่ง และในเมื่อมันสามารถปรับสภาพเส้นผมได้ น้ำมันมะพร้าวก็สามารถนำมาใช้บำรุงคิ้วและขนตาได้เช่นกัน (แต่ก็ระวังอย่าให้เข้าตานะคะ)
นอกจากนี้ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสียหายของอวัยวะต่างๆ จากการรุกรานทำร้ายของอนุมูลอิสระต่างๆ ซึ่งก็เป็นเหตุผลหลักหนึ่งทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวช่วยบำรุงผิวพรรณรวมทั้งเส้นผมของสาวๆ เราได้ค่ะ โดยที่สาวๆ สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเพื่อ
1. กระตุ้นการเติบโตของเส้นผม น้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยบรรเทาอาการผมร่วงได้โดยการใส่น้ำมันมะพร้าวโดยเฉพาะน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin coconut oil) ลงบนเส้นผม นอกจากนั้นยังทำให้เส้นผมแข็งแรงอีกด้วย อาจจะเรียกได้ว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นครีมปรับสภาพเส้นผมวิเศษจากธรรมชาติเลยก็ได้ค่ะ
2. ช่วยทำให้ผิวพรรณนุ่มนวล ในปัจจุบันมีการนำน้ำมันมะพร้าวมาผสมในเครื่องสำอางเพื่อทำเป็นครีมเพิ่มความชุ่มชื้น เพื่อทำให้ผิวพรรณสดชื่นและกำจัดรอยด่างดำต่างๆ ของผิว โดยสามารถใช้ได้ทั้งเป็นโลชั่นหลังการอาบน้ำ ครีมเพิ่มความชุ่มชื้นสำหรับผิวหน้า หรือเป็นน้ำมันสำหรับการนวดผิวก็ยังได้อีก
3. ช่วยรักษาจัดการกับผิวที่เสียหาย ยิ่งไปกว่าการช่วยทำให้ผิวพรรณสวยงาม หลายๆ คนกล่าวจากประสบการณ์ว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยทำให้ผิวพรรณสวยงามได้โดยการลดความรุนแรงจากโรคผิวหนังบางชนิดลง ช่วยลดการติดเชื้อหรือการเติบโตของเชื้อราบางชนิด และช่วยลดกลิ่นกายได้ และยังช่วยป้องกันการเหี่ยวเฉาและจุดด่างดำได้อีกด้วย แหม ประโยชน์สารพัดเชียวนะคะเนี่ย
4. ช่วยบรรเทาอาการผมหงอก ยังค่ะ ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ถ้าท่านโทรหาเราภายใน... อ้าว ไม่ใช่แล้วค่ะ เพราะแม้จะไม่โทรติดต่อเราแต่นวดเส้นผมด้วยน้ำมันมะพร้าวผสมกับน้ำมะนาวเป็นเวลา 15 นาทีเป็นประจำทุกวัน จะทำให้เส้นผมดกดำได้จนอายุมากกว่าคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันค่ะ บางคนที่ใช้วิธีนี้ สามารถมีเส้นผมดกดำได้ถึงอายุ 60-70 ปีเลยนะคะ
เป็นไงบ้างคะกับประโยชน์สารพันรอบด้านของน้ำมันมะพร้าวกับความงามของเรา ข้อสำคัญก็คือ เราทราบว่าการใช้น้ำมันมะพร้าวกับผิวพรรณนั้นมีอันตรายน้อยมาก (ถ้าจะมี ก็แหม จะมีได้อย่างไรล่ะคะ ขนาดรับประทานยังได้เลยนี่นา กับแค่ใช้กับผิว เรื่องจิ๊บๆ ค่ะจริงไหม) ในบทความคราวหน้า เราจะลองดูว่าเราสามารถนำน้ำมันมะพร้าวมาผสมเป็นเครื่องบำรุงผิวได้อย่างไรบ้าง โปรดคอยติดตามกันนะคะ
ในบรรดาสิ่งของสารพัดที่สาวๆ เราพยามยามเฝ้าสรรหามาบำรุงผิว เราเคยถามตัวเองไหมคะว่า มันน่าจะมีอะไรที่บำรุงผิวเราได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาบรรดาสารเคมี บรรดาเครื่องสำอางต่างๆ ที่โฆษณาออกทีวีืหรือเห็นกันในนิตยสารมากมายที่ผ่านสายตาเรา ที่ถึงแม้เราจะเชื่อว่ามีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ด้วยความที่เราก็ไม่ได้รู้จักคนผลิตสักเท่าไร เราจะทราบได้อย่างไรว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะดีกับเราจริงๆ บทความนี้จะนำให้เพื่อนๆ รู้จักกับของที่เรามีอยู่และปลอดภัยในการใช้กับผิวแน่นอนมาให้ได้ใช้กัน ติดตามกันนะคะ
ถ้าจะถามว่า หากเราไม่ใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ขายกันอยู่อย่างดาษดื่นทุกวันนี้ แล้วเราจะไปใช้อะไร เราอาจจะเปลี่ยนคำถามใหม่สักหน่อยเป็นว่า "แล้วเมื่อก่อน คุณทวด คุณยายเรา ใช้อะไรในการบำรุงผิวกันล่ะ ถึงได้สวยได้เหมือนๆ กับเราที่สรรหาของสารพัดอย่างมาใช้กันอย่างยากเย็นเช่นทุกวันนี้" นั่นแน่ สาวๆ อาจจะต้องคิดว่าอยู่ดีๆ Womanandkid จะชวนถอยหลังย้อนยุคโบราณกันแน่แท้ แต่ช้าก่อนค่ะ เพราะของบางอย่างที่เป็นความรู้โบราณนี่แหละค่ะที่ได้รับการนำมาใช้ในโลกสมัยใหม่ เพียงแต่ว่าในขั้นตอนบางอย่างหรือการผสมสารเคมีบางอย่าง อาจจะนำมาหรือมีผลที่ไม่ดีตามมาได้ การย้อนไปใช้ในสิ่งที่เรารู้และเข้าใจมันจริงๆ บางทีก็น่าจะดีกว่าและปลอดภัยกว่า จริงไหมล่ะคะ
จะแปลกใจไหมล่ะคะถ้าจะบอกว่า ในสมัยคุณย่าคุณยายสวยๆ ของเรา (อ้าว ท่านก็ต้องสวยสิ ไม่อย่างนั้นจะทำให้เราสวยกันแบบนี้ได้หรือ จริงไหมคะ) ท่านรู้จักการใช้ของที่หาได้ใกล้ตัวหรือแม้กระทั่งจากในครัวนี่ล่ะค่ะมาบำรุงผิว สิ่งหนึ่งที่น่าฉงนกันสำหรับผู้ที่ไม่ทราบมาก่อนก็คือ "น้ำมันมะพร้าว" นี่ล่ะค่ะ (ถ้าจะบอกให้คลายความสงสัยลงสักนิด ก็คงต้องบอกว่า แม้แต่ในเครื่องสำอางปัจจุบัน ก็ยังคงมีการนำน้ำมันมะพร้าวมาเป็นส่วนผสมอยู่เช่นกัน แสดงว่าเป็นของดีมีประโยชน์จริงๆ ไงคะ) นอกจากน้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้ผิวสวยได้ด้วยการรับประทานในปริมาณเล็กน้อยแล้ว (อ่านรายละเอียดในบทความ "อาหารช่วยให้ผิวสวย" คลิกที่นี่) น้ำมันมะพร้าวยังมีคุณสมบัติในการดูดซึมลงผิวได้ดี ทำให้ผิวดูนุ่มนวลสดชื่นในขณะที่ช่วยต่อสู้อาการอักเสบของผิวได้ด้วย นอกจากการใช้กับผิว การทาหรือชะโลมน้ำมันมะพร้าวลงบนผมก่อนการสระก็จะเป็นการปรับสภาพเส้นผมได้ดีอย่างหนึ่ง และในเมื่อมันสามารถปรับสภาพเส้นผมได้ น้ำมันมะพร้าวก็สามารถนำมาใช้บำรุงคิ้วและขนตาได้เช่นกัน (แต่ก็ระวังอย่าให้เข้าตานะคะ)
นอกจากนี้ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสียหายของอวัยวะต่างๆ จากการรุกรานทำร้ายของอนุมูลอิสระต่างๆ ซึ่งก็เป็นเหตุผลหลักหนึ่งทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวช่วยบำรุงผิวพรรณรวมทั้งเส้นผมของสาวๆ เราได้ค่ะ โดยที่สาวๆ สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเพื่อ
1. กระตุ้นการเติบโตของเส้นผม น้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยบรรเทาอาการผมร่วงได้โดยการใส่น้ำมันมะพร้าวโดยเฉพาะน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin coconut oil) ลงบนเส้นผม นอกจากนั้นยังทำให้เส้นผมแข็งแรงอีกด้วย อาจจะเรียกได้ว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นครีมปรับสภาพเส้นผมวิเศษจากธรรมชาติเลยก็ได้ค่ะ
2. ช่วยทำให้ผิวพรรณนุ่มนวล ในปัจจุบันมีการนำน้ำมันมะพร้าวมาผสมในเครื่องสำอางเพื่อทำเป็นครีมเพิ่มความชุ่มชื้น เพื่อทำให้ผิวพรรณสดชื่นและกำจัดรอยด่างดำต่างๆ ของผิว โดยสามารถใช้ได้ทั้งเป็นโลชั่นหลังการอาบน้ำ ครีมเพิ่มความชุ่มชื้นสำหรับผิวหน้า หรือเป็นน้ำมันสำหรับการนวดผิวก็ยังได้อีก
3. ช่วยรักษาจัดการกับผิวที่เสียหาย ยิ่งไปกว่าการช่วยทำให้ผิวพรรณสวยงาม หลายๆ คนกล่าวจากประสบการณ์ว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยทำให้ผิวพรรณสวยงามได้โดยการลดความรุนแรงจากโรคผิวหนังบางชนิดลง ช่วยลดการติดเชื้อหรือการเติบโตของเชื้อราบางชนิด และช่วยลดกลิ่นกายได้ และยังช่วยป้องกันการเหี่ยวเฉาและจุดด่างดำได้อีกด้วย แหม ประโยชน์สารพัดเชียวนะคะเนี่ย
4. ช่วยบรรเทาอาการผมหงอก ยังค่ะ ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ถ้าท่านโทรหาเราภายใน... อ้าว ไม่ใช่แล้วค่ะ เพราะแม้จะไม่โทรติดต่อเราแต่นวดเส้นผมด้วยน้ำมันมะพร้าวผสมกับน้ำมะนาวเป็นเวลา 15 นาทีเป็นประจำทุกวัน จะทำให้เส้นผมดกดำได้จนอายุมากกว่าคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันค่ะ บางคนที่ใช้วิธีนี้ สามารถมีเส้นผมดกดำได้ถึงอายุ 60-70 ปีเลยนะคะ
เป็นไงบ้างคะกับประโยชน์สารพันรอบด้านของน้ำมันมะพร้าวกับความงามของเรา ข้อสำคัญก็คือ เราทราบว่าการใช้น้ำมันมะพร้าวกับผิวพรรณนั้นมีอันตรายน้อยมาก (ถ้าจะมี ก็แหม จะมีได้อย่างไรล่ะคะ ขนาดรับประทานยังได้เลยนี่นา กับแค่ใช้กับผิว เรื่องจิ๊บๆ ค่ะจริงไหม) ในบทความคราวหน้า เราจะลองดูว่าเราสามารถนำน้ำมันมะพร้าวมาผสมเป็นเครื่องบำรุงผิวได้อย่างไรบ้าง โปรดคอยติดตามกันนะคะ
น้ำมันมะกอก เคล็ดลับ ผมสวย สองพันปี
………หนึ่งในเคล็ดลับความงามของพระนางคลีโอพัตรา ที่เล่าขานต่อกันมาจนบัดนี้ก็คือ “น้ำมันมะกอก” เพราะอุดมด้วยวิตามิน Bและวิตามิน E ที่ช่วยบำรุงผมสวยได้อย่างเห็นผล อีกทั้งโมเลกุลของน้ำมันมะกอกยังใกล้เคียงกับน้ำมันตามธรรมชาติซึมซาบง่าย ช่วยบำรุงหนังศีรษะให้ชุ่มชื่น แข็งแรง จึงมีการนำน้ำมันมะกอกมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมอย่างแพร่หลาย
………น้ำมันที่ดีต่อเส้นผมมากที่สุดคือ Olive Virgin Oil หรือน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ที่คั้นจากผลสดๆโดยไม่ผ่านความร้อน ซึ่งคงคุณค่าความสดใหม่ของวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระไว้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะ Hydroxytyrosol ที่ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระของเคราตินหรือโปรตีนที่คอยปกป้องเส้นผมได้เป็นอย่างดี เส้นผมจึงแข็งแรง ไม่เปราะหรือขาดง่าย
1.Honey & Olive Virgin Oil
นำน้ำผึ้ง 2 ถ้วยตวง ผสมกับน้ำมะกอก1/4ถ้วยตวง แล้วแบ่งส่วนหนึ่งมาชโลมผมให้ทั่ว เน้นบริเวณปลายผมเป็นพิเศษ จากนั้นคลุมผมด้วยหมวดอบไอน้ำทิ้งไว้สัก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง แล้วค่อยสระผมตามปกติ ส่วนที่เหลือแช่ตู้เย็นไว้ใช้ได้อีก
2.Olive Oil Wrap
*อุ่นน้ำมันมะกอก 2 ช้อนชาในไมโครเวฟ ทดสอบอุณหภูมิพออุ่นๆแต่ไม่ถึงกับร้อน
*ใช้น้ำมันมะกอกอุ่นๆ นวดหนังศีรษะเป็นวงกลมให้ทั่วอย่างเบามือ จากนั้นจึงนำน้ำมันที่เหลือนวดเส้นผมจากโคลนจรดปลาย
*นำผ้าขนหนูไปชุบน้ำอุ่น บิดพอหมาดแล้วเอามาพันศีรษะ ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วจึงสระผมตามปกติ
3.Twin “Mask”
สูตรนี้ผสานคุณค่าวิตามินบีแบบคูณสอง ด้วยการนำกล้วยหอม 1 ผล มาบดผสมกับน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ(สำหรับสาวผมสั้นลดกล้วยและน้ำผึ้งลงครึ่งหนึ่ง) นำมามาสก์ผมให้ทั่วตั้งแต่โคนจดปลาย ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วสระผมตามปกติ
………นอกจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะกอกแล้ว ในวันว่างเรายังทำทรีตเม้นต์น้ำมันมะกอกให้ดูแลเส้นผมเป็นพิเศษด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ลองเลือกสูตรที่ถูกใจคุณดูนะคะ
………หนึ่งในเคล็ดลับความงามของพระนางคลีโอพัตรา ที่เล่าขานต่อกันมาจนบัดนี้ก็คือ “น้ำมันมะกอก” เพราะอุดมด้วยวิตามิน Bและวิตามิน E ที่ช่วยบำรุงผมสวยได้อย่างเห็นผล อีกทั้งโมเลกุลของน้ำมันมะกอกยังใกล้เคียงกับน้ำมันตามธรรมชาติซึมซาบง่าย ช่วยบำรุงหนังศีรษะให้ชุ่มชื่น แข็งแรง จึงมีการนำน้ำมันมะกอกมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมอย่างแพร่หลาย
………น้ำมันที่ดีต่อเส้นผมมากที่สุดคือ Olive Virgin Oil หรือน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ที่คั้นจากผลสดๆโดยไม่ผ่านความร้อน ซึ่งคงคุณค่าความสดใหม่ของวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระไว้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะ Hydroxytyrosol ที่ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระของเคราตินหรือโปรตีนที่คอยปกป้องเส้นผมได้เป็นอย่างดี เส้นผมจึงแข็งแรง ไม่เปราะหรือขาดง่าย
1.Honey & Olive Virgin Oil
นำน้ำผึ้ง 2 ถ้วยตวง ผสมกับน้ำมะกอก1/4ถ้วยตวง แล้วแบ่งส่วนหนึ่งมาชโลมผมให้ทั่ว เน้นบริเวณปลายผมเป็นพิเศษ จากนั้นคลุมผมด้วยหมวดอบไอน้ำทิ้งไว้สัก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง แล้วค่อยสระผมตามปกติ ส่วนที่เหลือแช่ตู้เย็นไว้ใช้ได้อีก
2.Olive Oil Wrap
*อุ่นน้ำมันมะกอก 2 ช้อนชาในไมโครเวฟ ทดสอบอุณหภูมิพออุ่นๆแต่ไม่ถึงกับร้อน
*ใช้น้ำมันมะกอกอุ่นๆ นวดหนังศีรษะเป็นวงกลมให้ทั่วอย่างเบามือ จากนั้นจึงนำน้ำมันที่เหลือนวดเส้นผมจากโคลนจรดปลาย
*นำผ้าขนหนูไปชุบน้ำอุ่น บิดพอหมาดแล้วเอามาพันศีรษะ ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วจึงสระผมตามปกติ
3.Twin “Mask”
สูตรนี้ผสานคุณค่าวิตามินบีแบบคูณสอง ด้วยการนำกล้วยหอม 1 ผล มาบดผสมกับน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ(สำหรับสาวผมสั้นลดกล้วยและน้ำผึ้งลงครึ่งหนึ่ง) นำมามาสก์ผมให้ทั่วตั้งแต่โคนจดปลาย ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วสระผมตามปกติ
………นอกจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะกอกแล้ว ในวันว่างเรายังทำทรีตเม้นต์น้ำมันมะกอกให้ดูแลเส้นผมเป็นพิเศษด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ลองเลือกสูตรที่ถูกใจคุณดูนะคะ
สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะรุม
วันนี้เรามีสรรพคุณของมะรุมและประโยชน์ของมะรุมที่จัดว่าเป็นอีกสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งเลยค่ะ บางคนก็เรียก มะรุม ว่า ผักมะรุม ผลมะรุม แต่ยังไงก็คือ มะรุม นะค่ะ อิอิอิ ประโยชน์ของมะรุม ของมะรุมนั้นมีมากจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็นิยมนำมาทำอาหารได้หลายอย่างทั้ง ต้ม ผัด แกง ฯลฯ ส่วน สรรพคุณของมะรุม ก็นำมาทำเป็นตัวยาหลายอย่างเลยค่ะ แต่หากว่าอยากได้สุขภาพเวลานำมากประกอบอาหารต้องมาดู สรรพคุณของมะรุม และ ประโยชน์ของมะรุม กันเลยดีกว่าค่ะ
สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะรุม
คุณค่าทางอาหารของมะรุม
- ใบ ใบสดใช้กินเป็นอาหาร ใบแห้งที่ทำเป็นผงเก็บไว้ได้นานโดยยังมีคุณค่าทางอาหารสูง ใบมะรุมมีวิตามินเอสูงกว่าแครอท มีแคลเซียมสูงกว่านม มีเหล็กสูงกว่าผักขม มีวิตามินซีสูงกว่าส้มและมีโปแตสเซียมสูงกว่ากล้วย
- ดอกฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แก้หวัดHelminths ป้องกันมะเร็ง
- ฝัก ฝักมะรุม 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 32 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย เส้นใย 1.2 กรัม แคลเซียม 9 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม วิตามินเอ 532 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.05 มิลลิกรัม ไนอาซิน 0.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 262 มิลลิกรัม
- เมล็ด น้ำมันที่ได้จากการคั้นเมล็ดสดใช้เป็นน้ำมันปรุงอาหาร
- การปรุงอาหาร ในประเทศไทยฤดูหนาวจะมีมะรุมจำหน่ายทั่วไปทั้งตลาดในเมืองและในท้องถิ่น คนไทยทุกภาครับประทานมะรุมเป็นผัก ชาวภาคกลางนิยมนักมะรุมอ่อนไปปรุงเป็นแกงส้มและนำดอกมะรุมลวกให้สุกหรือดองรับประทานกับน้ำพริก สำหรับชาวอีสานยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อดอกอ่อนนำไปลวกให้สุกหรือต้มให้สุกรับประทานเป็นผักร่วมกับป่นแจ่ว ลาบ ก้อย หรือนำไปปรุงเป็นแกงอ่อม ส่วนฝักอ่อนหรือฝักที่ยังไม่แก่เต็มที่นำมาปอกเปลือกหั่นเป็นท่อนและนำไปปรุงเป็นแกงส้มหรือแกงลาวได้ นอกจากนี้ที่จังหวัดชัยภูมิยังรับประทานฝักมะรุมอ่อนสดเป็นผักแกล้มร่วมกับส้มตำโดยรับประทานคล้ายกับรับประทานถั่วฝักยาว และชาวบ้านเล่าว่าฝักมะรุมอ่อนนำไปแกงส้มได้โดยไม่ต้องปอกเปลือก ชาวเหนือนำดอกอ่อนฝักอ่อนไปแกงกับปลาในต่างประเทศ เช่น อินเดียมีการทำผงใบมะรุมไว้เป็นอาหารน้ำใบมะรุมอัดกระป๋อง
ประโยชน์ของมะรุม
- ชะลอความแก่
กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และcaffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายได้
- ฆ่าจุลินทรีย์
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์และเบนซิล-กลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ.2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู ปัจจุบันหลังจากการค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว
- การป้องกันมะเร็ง
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์ มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาหารเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจาก การกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลองโดยกลุ่มที่กินมะรุมมีเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม
- ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล
จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก
สรรพคุณของมะรุม
มะรุมในทางการแพทย์จะช่วยใช้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน ควบคุมภาวะความดันโลหิตสูงช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
- ใบ ใช้ถอนพิษไข้ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ แก้แผล ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับปัสสาวะ ป้องกันมะเร็ง ลดความดันโลหิต
- ยอดอ่อน ใช้ถอนพิษไข้
- ดอก ใช้แก้ไข้หัวลม เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันมะเร็ง
- ฝัก แก้ไข้ ป้องกันมะเร็ง ลดความดันโลหิต
- เมล็ด เมล็ดปรุงเป็นยาแก้ไข้ แก้บวม แก้ปวดตามข้อ ป้องกันมะเร็ง
- ราก รสเผ็ด หวาน ขม สรรพคุณ แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ รักษาโรคหัวใจ รักษาโรคไขข้อ (rheumatism)
- เปลือกลำต้น รสร้อน สรรพคุณขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อน ๆ แก้ลมอัมพาต ป้องกันมะเร็ง คุมกำเนิด เคี้ยวกินช่วยย่อยอาหาร
- ยาง (gum) ฆ่าเชื้อไทฟอยด์ ซิฟิลิส (syphilis) แก้ปวดฟัน earache, asthma
ขอขอบคุณข้อมูลจาก the-than ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต
วันนี้เรามีสรรพคุณของมะรุมและประโยชน์ของมะรุมที่จัดว่าเป็นอีกสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งเลยค่ะ บางคนก็เรียก มะรุม ว่า ผักมะรุม ผลมะรุม แต่ยังไงก็คือ มะรุม นะค่ะ อิอิอิ ประโยชน์ของมะรุม ของมะรุมนั้นมีมากจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็นิยมนำมาทำอาหารได้หลายอย่างทั้ง ต้ม ผัด แกง ฯลฯ ส่วน สรรพคุณของมะรุม ก็นำมาทำเป็นตัวยาหลายอย่างเลยค่ะ แต่หากว่าอยากได้สุขภาพเวลานำมากประกอบอาหารต้องมาดู สรรพคุณของมะรุม และ ประโยชน์ของมะรุม กันเลยดีกว่าค่ะ
สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะรุม
คุณค่าทางอาหารของมะรุม
- ใบ ใบสดใช้กินเป็นอาหาร ใบแห้งที่ทำเป็นผงเก็บไว้ได้นานโดยยังมีคุณค่าทางอาหารสูง ใบมะรุมมีวิตามินเอสูงกว่าแครอท มีแคลเซียมสูงกว่านม มีเหล็กสูงกว่าผักขม มีวิตามินซีสูงกว่าส้มและมีโปแตสเซียมสูงกว่ากล้วย
- ดอกฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แก้หวัดHelminths ป้องกันมะเร็ง
- ฝัก ฝักมะรุม 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 32 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย เส้นใย 1.2 กรัม แคลเซียม 9 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม วิตามินเอ 532 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.05 มิลลิกรัม ไนอาซิน 0.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 262 มิลลิกรัม
- เมล็ด น้ำมันที่ได้จากการคั้นเมล็ดสดใช้เป็นน้ำมันปรุงอาหาร
- การปรุงอาหาร ในประเทศไทยฤดูหนาวจะมีมะรุมจำหน่ายทั่วไปทั้งตลาดในเมืองและในท้องถิ่น คนไทยทุกภาครับประทานมะรุมเป็นผัก ชาวภาคกลางนิยมนักมะรุมอ่อนไปปรุงเป็นแกงส้มและนำดอกมะรุมลวกให้สุกหรือดองรับประทานกับน้ำพริก สำหรับชาวอีสานยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อดอกอ่อนนำไปลวกให้สุกหรือต้มให้สุกรับประทานเป็นผักร่วมกับป่นแจ่ว ลาบ ก้อย หรือนำไปปรุงเป็นแกงอ่อม ส่วนฝักอ่อนหรือฝักที่ยังไม่แก่เต็มที่นำมาปอกเปลือกหั่นเป็นท่อนและนำไปปรุงเป็นแกงส้มหรือแกงลาวได้ นอกจากนี้ที่จังหวัดชัยภูมิยังรับประทานฝักมะรุมอ่อนสดเป็นผักแกล้มร่วมกับส้มตำโดยรับประทานคล้ายกับรับประทานถั่วฝักยาว และชาวบ้านเล่าว่าฝักมะรุมอ่อนนำไปแกงส้มได้โดยไม่ต้องปอกเปลือก ชาวเหนือนำดอกอ่อนฝักอ่อนไปแกงกับปลาในต่างประเทศ เช่น อินเดียมีการทำผงใบมะรุมไว้เป็นอาหารน้ำใบมะรุมอัดกระป๋อง
ประโยชน์ของมะรุม
- ชะลอความแก่
กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และcaffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายได้
- ฆ่าจุลินทรีย์
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์และเบนซิล-กลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ.2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู ปัจจุบันหลังจากการค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว
- การป้องกันมะเร็ง
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์ มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาหารเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจาก การกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลองโดยกลุ่มที่กินมะรุมมีเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม
- ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล
จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก
สรรพคุณของมะรุม
มะรุมในทางการแพทย์จะช่วยใช้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน ควบคุมภาวะความดันโลหิตสูงช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
- ใบ ใช้ถอนพิษไข้ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ แก้แผล ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับปัสสาวะ ป้องกันมะเร็ง ลดความดันโลหิต
- ยอดอ่อน ใช้ถอนพิษไข้
- ดอก ใช้แก้ไข้หัวลม เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันมะเร็ง
- ฝัก แก้ไข้ ป้องกันมะเร็ง ลดความดันโลหิต
- เมล็ด เมล็ดปรุงเป็นยาแก้ไข้ แก้บวม แก้ปวดตามข้อ ป้องกันมะเร็ง
- ราก รสเผ็ด หวาน ขม สรรพคุณ แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ รักษาโรคหัวใจ รักษาโรคไขข้อ (rheumatism)
- เปลือกลำต้น รสร้อน สรรพคุณขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อน ๆ แก้ลมอัมพาต ป้องกันมะเร็ง คุมกำเนิด เคี้ยวกินช่วยย่อยอาหาร
- ยาง (gum) ฆ่าเชื้อไทฟอยด์ ซิฟิลิส (syphilis) แก้ปวดฟัน earache, asthma
ขอขอบคุณข้อมูลจาก the-than ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต
แตงกวา ประโยชน์สารพัด
คุณมองเห็นอะไร...แตงกวาหรือตัวช่วยผิวจากการถูกแสงแดดทำลาย? (Health Plus)
แตงกวามีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพซึ่งคุณอาจยังไม่รู้...
แตงกวาอาหารของผิว
เพราะอุดมไปด้วย วิตามินซี แคลเซียม ซิลิก้า และโปแทสเซียม แตงกวาจึงทำให้ผิวกระจ่างใส เส้นผมเป็นมันเงา เล็บแข็งแรง และช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เพื่อสุขภาพผิวที่ดี มาทำโทนเนอร์แตงกวากระชับรูขุมขนใช้เองดีกว่า นำแตงกวาครึ่งลูก ถั่วเฮเซลนัท 1 ช้อนโต๊ะ น้ำแร่ 1 ช้อนโต๊ะใส่ในเครื่องปั่นอาหาร นำส่วนผสมที่ได้มากรองด้วยผ้าขาวบางคั้นเอาแต่น้ำ ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออกโทนเนอร์ส่วนที่เหลือให้นำไปแช่ตู้เย็น เก็บได้ประมาณ 3 วัน
ผิวไหม้เนื่องจากถูกแดดเผา
บรรเทาอาการแสบผิวด้วยโลชั่นแตงกวาสูตรเย็นต่อไปนี้ดูสิ ผสมน้ำแตงกวาคั้น (เลือกลูกใหญ่ ๆ ) กับกลีเซอรีนครึ่งช้อนชา ทาบริเวณที่ถูกแดดเผา โลชั่นจะช่วยให้ผิวเย็นและเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยง ทั้งนี้เพราะแตงกวามีคุณสมบัติลดการอักเสบและคืนความชุ่มชื่นให้ผิว
แสบเคืองตาใช่ไหม?
ถ้ามีอาการเคืองตา ตาบวมให้ใช้แตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแว่นวางบนตาประมาณ 10 นาที โดยให้นอนพักสายตาในห้องมืด เนื่องจากแตงกวามีวิตามินและเกลือแร่สูง ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูดวงตาให้กลับสดชื่นมีชีวิตชีวา
ล้างพิษด้วยน้ำแตงกวา
ถ้าคุณกำลังคิดจะทำดีท็อกซ์ ลองน้ำแตงกวาดูสิ เพราะมีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ และสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกาย มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย ด้วยรสชาติที่นุ่มนวลของแตงกวา จึงเหมาะที่จะนำมาผสมกับน้ำผลไม้ชนิดอื่น เริ่มต้นวันใหม่ของคุณด้วยเครื่องดื่มสูตรล้างพิษ และเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าต่อไปนี้ : แตงกวา 1 ผล คั้นเอาแต่น้ำ ใส่ขิงหั่นเป็นแว่นขนาดครึ่งนิ้วลงไป ดื่มทันที
คุณมองเห็นอะไร...แตงกวาหรือตัวช่วยผิวจากการถูกแสงแดดทำลาย? (Health Plus)
แตงกวามีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพซึ่งคุณอาจยังไม่รู้...
แตงกวาอาหารของผิว
เพราะอุดมไปด้วย วิตามินซี แคลเซียม ซิลิก้า และโปแทสเซียม แตงกวาจึงทำให้ผิวกระจ่างใส เส้นผมเป็นมันเงา เล็บแข็งแรง และช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เพื่อสุขภาพผิวที่ดี มาทำโทนเนอร์แตงกวากระชับรูขุมขนใช้เองดีกว่า นำแตงกวาครึ่งลูก ถั่วเฮเซลนัท 1 ช้อนโต๊ะ น้ำแร่ 1 ช้อนโต๊ะใส่ในเครื่องปั่นอาหาร นำส่วนผสมที่ได้มากรองด้วยผ้าขาวบางคั้นเอาแต่น้ำ ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออกโทนเนอร์ส่วนที่เหลือให้นำไปแช่ตู้เย็น เก็บได้ประมาณ 3 วัน
ผิวไหม้เนื่องจากถูกแดดเผา
บรรเทาอาการแสบผิวด้วยโลชั่นแตงกวาสูตรเย็นต่อไปนี้ดูสิ ผสมน้ำแตงกวาคั้น (เลือกลูกใหญ่ ๆ ) กับกลีเซอรีนครึ่งช้อนชา ทาบริเวณที่ถูกแดดเผา โลชั่นจะช่วยให้ผิวเย็นและเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยง ทั้งนี้เพราะแตงกวามีคุณสมบัติลดการอักเสบและคืนความชุ่มชื่นให้ผิว
แสบเคืองตาใช่ไหม?
ถ้ามีอาการเคืองตา ตาบวมให้ใช้แตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแว่นวางบนตาประมาณ 10 นาที โดยให้นอนพักสายตาในห้องมืด เนื่องจากแตงกวามีวิตามินและเกลือแร่สูง ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูดวงตาให้กลับสดชื่นมีชีวิตชีวา
ล้างพิษด้วยน้ำแตงกวา
ถ้าคุณกำลังคิดจะทำดีท็อกซ์ ลองน้ำแตงกวาดูสิ เพราะมีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ และสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกาย มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย ด้วยรสชาติที่นุ่มนวลของแตงกวา จึงเหมาะที่จะนำมาผสมกับน้ำผลไม้ชนิดอื่น เริ่มต้นวันใหม่ของคุณด้วยเครื่องดื่มสูตรล้างพิษ และเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าต่อไปนี้ : แตงกวา 1 ผล คั้นเอาแต่น้ำ ใส่ขิงหั่นเป็นแว่นขนาดครึ่งนิ้วลงไป ดื่มทันที
ประโยชน์ของกระเทียม
ทราบหรือไม่ว่า กระเทียมที่กินอยู่เป็นประจำมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก...
กระเทียมเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณในการบำบัดรักษาโรคได้หลายชนิด
- กินกระเทียมเป็นประจำ จะทำให้ผิวหนังสะอาด เพราะกระเทียมจะไปทำความสะอาดเลือด ช่วยให้ผิวหนังดีขึ้น รักษาผิวหนังที่เป็นตุ่มแผล ผิวหนังด่างดำ สิวและฝี
- กระเทียมช่วยลดความดันโลหิตสูง เพราะกระเทียมจะไปขยายเส้นเลือดให้กว้างขึ้น
- ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว เพราะกระเทียมจะไปยับยั้งการสร้างสารกรอมโปเซนบี 2 ซึ่งสารนี้เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เลือดจับตัวเป็นก้อน และเป็นสาเหตุทำให้ความดันโลหิตสูง
ทราบหรือไม่ว่า กระเทียมที่กินอยู่เป็นประจำมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก...
กระเทียมเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณในการบำบัดรักษาโรคได้หลายชนิด
- กินกระเทียมเป็นประจำ จะทำให้ผิวหนังสะอาด เพราะกระเทียมจะไปทำความสะอาดเลือด ช่วยให้ผิวหนังดีขึ้น รักษาผิวหนังที่เป็นตุ่มแผล ผิวหนังด่างดำ สิวและฝี
- กระเทียมช่วยลดความดันโลหิตสูง เพราะกระเทียมจะไปขยายเส้นเลือดให้กว้างขึ้น
- ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว เพราะกระเทียมจะไปยับยั้งการสร้างสารกรอมโปเซนบี 2 ซึ่งสารนี้เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เลือดจับตัวเป็นก้อน และเป็นสาเหตุทำให้ความดันโลหิตสูง
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ว่านห่างจระเข้ สมุนไพรสารพัดประโยชน์
ว่านห่างจระเข้ สมุนไพรสารพัดประโยชน์
ว่านห่างจระเข้ สมุนไพรสารพัดประโยชน์
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
สมุนไพรไทย ๆ ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับหางแหลม ๆ ของจระเข้ จนได้ชื่อเรียกที่บ่งบอกถึงลักษณะได้ดีว่า ว่านห่างจระเข้ คืออีกหนึ่งพรรณไม้ไทยที่นิยมปลูกไว้ติดบ้าน นอกจากจะใช้ประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามแล้ว สรรพคุณต่าง ๆ ของว่านหางจระเข้ยังคุ้มค่าอีกด้วย ส่วนจะมีทีเด็ดขนาดไหนนั้น เราไปทำความรู้จักกับว่านหางจระเข้ให้มากขึ้นกันดีกว่า ..
ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) คือ พืชชนิดหนึ่งที่ถูกจัดอยู่ในประเภทพืชล้มลุก สีเขียว มีลักษณะลำต้นเป็นข้อปล้อง ใบเดี่ยว ใบหนายาวและโคนใบใหญ่ ปลายแหลม ขอบใบมีหนามห่างกันเป็นระยะ เรียงเป็นชั้น ข้างในใบเป็นวุ้นใสสีเขียวอ่อน มีเมือกเหนียว สามารถออกดอกสีแดงอมเหลืองที่ปลายยอดได้ มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและตอนใต้ของทวีปแอฟริกา สามารถปลูกได้ง่ายในดินทราย หรือในกระถางก็ได้ เป็นพืชชอบน้ำ แต่ต้องมีทางระบายน้ำได้ดี ป้องกันไม่ให้อมน้ำมากเกินไปจนรากเน่า
สรรพคุณว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้นั้น จัดเป็นพืชที่มีสรรพคุณต่าง ๆ มากมาย สามารถใช้บรรเทาโรคทั้งภายนอกและภายในร่างกาย อีกทั้งยังใช้บำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย ดังนี้
ประโยชน์ภายนอก
1.รักษาแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก โดยปอกเปลือกนอก นำวุ้นสดภายในใบไปล้างยางออกให้สะอาด แล้วนำไปประคบแผลตลอด 2 วันแรก จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน สมานแผลให้เร็วขึ้น และไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นอีกด้วย
2.ป้องกันและบรรเทารอยไหม้จากการออกแดด นำใบสด ๆ ของว่านหางจระเข้ผสมกับโลชั่นทาลงบนผิวหนังก่อนออกแดด จะช่วยป้องกันแสงแดดได้ แต่ถ้าหากเกิดรอยไหม้ขึ้นบนผิวหนังหลังออกแดดแล้ว ให้ใช้วุ้นที่ล้างสะอาดมาทาเพื่อลดอาการอักเสบ ถ้าจะให้ดีลองผสมกับน้ำมันพืช หรือ น้ำมันมะกอก เพื่อลดอาการผิวแห้งตึงจนเกินไป
3.บรรเทารอยไหม้จากการฉายรังสีของผู้ป่วย โดยใช้วิธีการนำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างสะอาดมาประคบที่รอยไหม้จากการทำคีโม จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน และทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
4.สมานแผลจากของมีคมและแผลถลอก หากได้รับบาดเจ็บจากของมีคม ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ที่ยังมีเมือกอยู่ แปะลงไปบนแผล จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสมานแผลให้เร็วขึ้นได้
5.รักษาฝีและโรคริดสีดวงทวาร ทำความสะอาดบริเวณที่เกิดโรคให้แห้งแล้ว นำวุ้นไปแปะลงบนแผล หากเป็นทวารหนักให้ปอกวุ้นให้เป็นแท่งแล้วล้างให้สะอาด นำไปแช่เย็นให้แข็ง เพื่อสอดเหน็บในช่องทวารหนักวันละ 1-2 ครั้ง อาการริดสีดวงจะดีขึ้น
6. รักษาตาปลาและฮ่องกงฟุต นำเนื้อวุ้นที่ล้างทำความสะอาดแล้ว ไปแปะลงบริเวณที่เกิดโรค หมั่นเปลี่ยนเนื้อวุ้นบ่อย ๆ โดยหากเป็นตาปลาส่วนที่แห้งลงจะเกิดรูบุ๋มขึ้น ให้ใช้ว่านหางจระเข้ประคบต่อไปจนกว่ารอยบุ๋มจะสมานและเล็กลง ส่วนฮ่องกงฟุตให้ด้วยว่านหางจระเข้เอาไว้จนกว่าแผลจะแห้งลงและอาการดีขึ้น
7.แก้ปวดศีรษะ ตัดใบสดจากต้นว่านหางจระเข้ แล้วนำปูนแดงทาบริเวณวุ้น ถือใบสดแล้วนำวุ้นผสมปูนแดงประคบบริเวณขมับหรือท้ายทอย ตามจุดที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้
8.บรรเทาอาการปวดฟัน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ออกเป็นแท่งเล็ก ๆ ประมาณ 2-3 เซ็นติเมตร นำไปเหน็บไว้ตามซอกฟันที่มีอาการปวด หรือประคบไว้ก็ได้ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที อาการปวดจะค่อย ๆ บรรเทาลง
ประโยชน์ภายใน
1.บรรเทาอาการปวดข้อ นำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างทำความสะอาดแล้วไปแช่ตู้เย็น และรับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวดตามข้อต่าง ๆ โดยสามารถใช้ได้ทั้งเนื้อวุ้น และน้ำวุ้น หากอยากให้รับประทานง่ายขึ้น สามารถนำไปปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ ก็ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน
2. ใช้เป็นยาถ่าย โดยเลือกตัดว่านหางจระเข้พันธุ์เฉพาะที่ใบใหญ่และมีน้ำยางสีเหลืองในปริมาณมาก อายุประมาณ 9 เดือนขึ้นไป รองน้ำยางที่ไหลออกมาจากใบ แล้วนำไปเคี่ยวให้ข้น เทลงในพิมพ์ขนาดเล็กให้แข็งเป็นก้อนรับประทานเป็นยาได้ ซึ่งเม็ดยาจะมีสีแดงอมน้ำตาลไปจนถึงดำ เรียกว่า ยาดำ แบ่งรับประทานครั้งละประมาณ 0.25 กรัม (250 มิลลิกรัม) จะเป็นขนาดที่เหมาะสมในการใช้เป็นยาถ่าย หากต้องการรับประทานแบบสด ๆ ก็สามารถทำได้ โดยการตัดวุ้นที่ล้างสะอาดแล้วออกเป็นขนาด 3-4 เซ็นติเมตร แบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
3. แก้กระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบ ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ นำวุ้นที่ได้ไปล้างให้สะอาด แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินอาหารได้
4. ป้องกันโรคเบาหวาน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร นำไปรับประทานทุกวัน หรือจะปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เพื่อรับประทานก็ได้ โดยอาการเบาหวานจะทุเลาลงสำหรับผู้ที่เป็นในระยะแรก ส่วนผู้ที่ต้องการรับประทานเพื่อป้องกัน สามารถรับประทานในปริมาณที่น้อยลงได้
5.แก้และป้องกันอาการเมารถเมาเรือ ท่านที่มีปัญหาในการเดินทาง เกิดอาการเมารถเมาเรืออยู่เป็นประจำ ให้ลองรับประทานเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้ หรือน้ำว่านหางจระเข้ ก่อนออกเดินทางจะช่วยบรรเทาให้เกิดอาการดังกล่าวน้อยลงได้ แต่หากเกิดอาการเมารถเมาเรือขึ้นแล้ว ลองทานน้ำว่านหางจระเข้เย็น ๆ ให้ชื่นใจ แล้วนั่งพักสักครู่ จะรู้สึกดีขึ้น
ประโยชน์ด้านความงาม
1.บำรุงเส้นผมให้เงางามและช่วยขจัดรังแค ตัดใบสดมาทาลงบนเส้นผม หรือถ้าไม่สะดวกให้นำวุ้นว่านหางจระเข้ไปปั่นให้ละเอียดจะได้ใช้ง่ายขึ้น จากนั้นนำมาชโลมผมให้ทั่วเพื่อให้ผมสลวยเงางาม หากนวดบริเวณรากผมจะช่วยให้รากผมเย็นลง ช่วยบำรุงหนังศีรษะ รักษาแผลบนศีรษะ และขจัดรังแคได้ด้วย
2.รักษาสิวและรอยด่างดำ ประโยชน์ข้อนี้คนที่อยากหน้าใสตั้งใจอ่านให้ดี เพราะว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ และมีกรดอ่อน ๆ ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ นำเนื้อวุ้นที่ล้างสะอาดทาบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้ง ใช้เวลาสัก 1-2 เดือน จะเริ่มเห็นผลว่ารอยต่าง ๆ ดูจางลง
3.บำรุงผิวกาย เพียงแค่นำว่านหางจระเข้สด มาปอกเปลือกและล้างให้สะอาด จากนั้นหั่นเป็นชิ้นนำไปใส่ไว้ในถุงผ้ากอซขนาดเล็ก แล้วนำไปหย่อนไว้ในอ่างอาบน้ำ หรือถ้าไม่มีถุงผ้ากอซ ให้นำวุ้นไปแช่ไว้ในอ่างอาบน้ำเลยก็ได้เหมือนกัน โดยระหว่างอาบน้ำให้ใช้เนื้อวุ้นถูกตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เน้นที่รอยแห้งกร้านอย่างข้อศอก หัวเข่า ส้นเท้า เป็นต้น จะช่วยให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม และเต่งตึงขึ้น
4. เติมน้ำให้ผิว ความชุ่มชื้นในผิวหน้าและผิวกาย มักจะค่อย ๆ ลดลงตามวัย และไลฟ์สไตล์ของคุณ ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตกันอยู่ในห้องแอร์จนผิวขาดความชุ่มชื้น หากนำเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้มาพอกหน้าก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยเติมน้ำให้ผิวของคุณได้ โดยล้างวุ้นให้สะอาด แล้วฝานบาง ๆ มาโปะให้ทั่วหน้า หลับตาพริ้มรอสัก 15 นาที ก็ไปล้างหน้าให้สะอาดได้ ผิวของคุณจะรู้สึกชุ่มชื้น เต่งตึงขึ้น หากจะใช้กับผิวกายให้ลองนำเนื้อไปปั่นหยาบ ๆ แล้วนำมาพอกตัว ก็ใช้ง่ายดีเหมือนกัน
สูตรพอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้
นอกจากสรรพคุณทางยาต่าง ๆ แล้ว ว่านหางจระเข้ก็ยังนำไปประยุกต์ใช้เพื่อความสวยความงามได้เช่นกัน สูตรว่านหางจระเข้พอกหน้า จึงขาดไม่ได้สำหรับคนรักสวยรักงาม เตรียมปากกาจดสูตรกันได้เลยจ้า
1.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา, น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วใช้พอกหน้าเพื่อลดความมัน และจุดด่างดำได้
2.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1.5 ช้อนโต๊ะ, ไข่ขาว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ ทำให้เกิดสิวลดลง
3.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1.5 ช้อนโต๊ะ, น้ำแตงกวาสด 1-2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันนำไปพอกหน้า จะช่วยลดความมันบนใบหน้า และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ให้ผิวหน้าสดชื่นขึ้น
4.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ, นมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปพอกหน้า จะช่วยให้ใบหน้ากระจ่างใสขึ้น และลดความมันบนใบหน้าด้วย
5.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ, ขมิ้นผง 2 ช้อนชา, นมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน แล้วพอกหน้าเพื่อลดความมัน และเพิ่มความกระจ่างใส โดยสามารถฝานแตงกวาเป็นแว่นมาแปะไว้บริเวณรอบดวงตาก็ได้
ผลิตภัณฑ์จากว่านหางจระเข้
เมื่อสรรพคุณของว่านหางจระเข้มีอยู่มากมายรอบด้านขนาดนี้ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากว่านหางจระเข้ก็ย่อมต้องทยอยออกมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคมากขึ้นปัจจุบันจึงมีผลิตภัณฑ์ที่ถูกแปรรูปจากว่านหางจระเข้อยู่หลากหลาย ดังนี้
1.เจลว่านหางจระเข้ สรรพคุณ ใช้ทาเพื่อลดอาการบวม เป็นครีมทาใต้ตา บำรุงผิวหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น ใช้ผสมกับส่วนผสมต่าง ๆ พอกหน้าแทนวุ้นว่านหางจระเข้ได้ ทั้งยังใช้ทาแผลพุพอง แผลสด เพื่อบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้อีกด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านการยิงเลเซอร์ และมีรอยไหม้แดงบนใบหน้า จะทำให้บรรทาอาการลงและฟื้นตัวเร็วขึ้น
2.ครีมว่านหางจระเข้ ก็มีสรรพคุณเดียวกันกับเจลว่านหางจระเข้ แตกต่างกันที่เนื้อผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์เข้มข้นกว่า อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีหน้ามัน เพราะเนื้อครีมจะให้ความรู้สึกหนักกว่าเนื้อเจล แต่ค่อนข้างเหมาะกับผู้ที่มีหน้าแห้ง เพราะจะให้ความชุ่มชื้นที่มากกว่า
ทั้งนี้นอกจากเจลว่านหางจระเข้และครีมว่านหางจระเข้แบบทั่วไปแล้ว ยังถูกต่อยอดออกไปเป็นเจลล้างหน้าว่านหางจระเข้ เจลและครีมว่านหางจระเข้แบบผสมสารกันแดด นอกจากนี้ยังมีน้ำว่านหางจระเข้สำหรับดื่มอีกด้วย โดยสรรพคุณไม่แตกต่างจากว่านหางจระเข้สดมากนัก
รู้จักสรรพคุณและสูตรต่าง ๆ ของว่านหางจระเข้กันแล้ว คงต้องเตรียมหาว่านสารพัดประโยชน์ชนิดนี้มาปลูกไว้คู่บ้านกันบ้างแล้วล่ะ รับรองได้ว่าคุ้มเกินคุ้มจริง ๆ จ้า
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)