วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มะขาม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีไทย
มะขาม
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Plantae
ดิวิชั่น: Magnoliophyta
ชั้น: Liliopsida
อันดับ: Fabales
วงศ์: Fabaceae
สกุล: Tamarindus
สปีชีส์: T. indica
ชื่อทวินาม
Tamarindus indica
มะขาม เป็นไม้เขตร้อน มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกาแถบประเทศซูดาน ต่อมามีการนำเข้ามาในประเทศแถบเขตร้อนของเอเชีย และประเทศแถบละตินอเมริกา และในปัจจุบันมีมากในเม็กซิโก
ชื่อมะขามในภาคต่างๆ เรียก มะขามไทย ภาคกลาง ขาม ภาคใต้ ตะลูบ โคราช ม่วงโคล้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) อำเปียล เขมร จังหวัดสุรินทร์ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า tamarind ซึ่งมาจากภาษาอาหรับ:تمر هندي (tamr hindī) แปลว่า Indian date
มะขามเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมีคำขวัญประจำจังหวัดว่า "เมืองมะขามหวาน อุทยานน้ำหนาว ศรีเทพเมืองเก่า เขาค้ออนุสรณ์ นครพ่อขุนผาเมือง"
เนื้อหา  [ซ่อน] 
1 ลักษณะเฉพาะ
2 ประโยชน์
3 คติความเชื่อ
4 ชื่อเรียกในภาษาอื่น ๆ
[แก้]ลักษณะเฉพาะ

มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่แตกกิ่งก้านสาขามากไม่มีหนาม เปลือกต้นขรุขระและหนา สีน้ำตาลอ่อน ใบ เป็นใบประกอบ ใบเล็กออกตามกิ่งก้านใบเป็นคู่ ใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบมน ประกอบ ด้วยใบย่อย 10–15 คู่ แต่ละใบย่อยมีขนาดเล็ก กว้าง 2–5 มม. ยาว 1–2 ซม. ออกรวมกันเป็นช่อยาว 2–16 ซม. ดอก ออกตามปลายกิ่ง ดอกมีขนาดเล็ก กลีบดอกสีเหลืองและมีจุดประสีแดง/ม่วงแดงอยู่กลางดอก ผล เป็นฝักยาว รูปร่างยาวหรือโค้ง ยาว 3-20 ซม. ฝักอ่อนมีเปลือกสีเขียวอมเทา สีน้ำตาลเกรียม เนื้อในติดกับเปลือก เมื่อแก่ฝักเปลี่ยนเป็นเปลือกแข็งกรอบหักง่าย สีน้ำตาล เนื้อในกลายเป็นสีน้ำตาลหุ้มเมล็ด เนื้อมีรสเปรี้ยว และ/หรือหวาน ซึ่งฝักหนึ่ง ๆ จะมี/หุ้มเมล็ด 3–12 เมล็ด เมล็ดแก่จะแบนเป็นมัน และมีสีน้ำตาล
ใบของมะขามเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaves) ใบย่อยแต่ละใบแยกออกจากก้าน 2 ข้างของแกนกลาง คล้ายขนนก ถ้าปลายสุดของใบจะเป็นใบย่อยเพียงใบเดียวเรียก แบบขนนกคี่ (odd pinnate) เช่น กุหลาบ อัญชัน ก้ามปู ถ้าสุดปลายใบมี 2 ใบ เรียกแบบขนนกคู่ (even pinnate) เช่น มะขาม
การปลูกมะขาม ทำได้โดยเตรียมดินโดยขุดหลุมกว้าง ยาวและลึกด้านละ 60 ซม. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักคลุกเคล้าดินรองก้นหลุมเอากิ่งพันธุ์ลงปลูก รดน้ำให้ชุ่ม มะขามเมื่อลงดินแล้วจะโตเร็ว ควรใช้ไม้หลักพยุงไว้ให้แน่น และการบำรุงรักษาหลังเริ่มปลูก ควรเอาใจใส่ดายหญ้ารอบต้น และรดน้ำทุกวัน
[แก้]ประโยชน์

ส่วนที่ใช้เป็นยา : เนื้อในฝักแก่ (มะขามเปียก) เปลือกต้น (ทั้งสดหรือแห้ง) เนื้อในเมล็ด
สรรพคุณและวิธีใช้
แก้อาการท้องผูก ใช้เนื้อฝักแก่หรือมะขามเปียก 10–20 ฝัก (หนักประมาณ 70–150 กรัม) จิ้มกับเกลือรับประทาน หรือใส่เกลือเติมน้ำคั้นดื่ม
แก้อาการท้องเดิน ใช้เปลือกต้น ทั้งสดหรือแห้งประมาณ 1–2 กำมือ (15–30 กรัม) ต้มกับน้ำปูนใสหรือน้ำรับประทาน
ถ่ายพยาธิลำไส้ ใช้เมล็ดคั่วกะเทาะเปลือกเอาออกเนื้อในเมล็ดแช่น้ำเกลือจนนุ่ม รับประทานครั้งละ 20–30 เมล็ด เหมาะสำหรับถ่ายพยาธิไส้เดือน
แก้ไอขับเสมหะ ใช้เนื้อในฝักแก่หรือมะขามเปียกจิ้มเกลือรับประทาน
การขยายพันธุ์ : นิยมขยายพันธุ์โดยการทาบกิ่ง ติดตาหรือต่อกิ่ง เพราะได้ผลเร็วและลดการกลายพันธุ์
สภาพดินฟ้าอากาศ : ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิดแม้แต่ดินเลว เช่นดินลูกรัง เจริญได้ดีในดินร่วนปนดินเหนียว ทนแล้งได้ดี ฤดูปลูกที่เหมาะสม คือต้นฤดูฝน
ควรหาเศษหญ้าฟางคลุมโคนจนกว่าต้นจะแข็งแรง ควรฉีดยาป้องกันโรคราแป้งและแมลงพวกหนอนเจาะฝัก ด้วงเจาะเมล็ด ในระยะที่เป็นดอกอยู่
คุณค่าทางโภชนาการ : ยอดอ่อนและฝักอ่อนมีวิตามิน เอ มาก มะขามเปียกรสเปรี้ยว ทำให้ชุ่มคอ ลดความร้อนของร่างกายได้ดี เนื้อในฝักมะขามที่แก่จัด เรียกว่า "มะขามเปียก" ประกอบด้วยกรดอินทรีย์หลายตัว เช่น กรดทาร์ททาร์ริค กรดซิตริค เป็นต้น ทำให้ออกฤทธิ์ ระบายและลดความร้อนของร่างกายลงได้ แพทย์ไทยเชื่อว่า รสเปรี้ยวนี้จะกัดเสมหะให้ละลายได้ด้วย
มะขามเปียกอุดมด้วยกรดอินทรีย์ อาทิ กรดซิตริค (Citric Acid) กรดทาร์ทาริค(Tartaric Acid) หรือกรดมาลิค(Malic Acid) เป็นต้น มีคุณสมบัติชำระล้างความสกปรกรูขุมขน คราบไขมันบนผิวหนังได้ดีมาก
[แก้]คติความเชื่อ

ตามตำราพรหมชาติฉบับหลวง ถือว่ามะขามเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ทางทิศตะวันตก (ประจิม) ของบ้าน เพื่อป้องกันสิ่งไม่ดี ผีร้ายมิให้มากล้ำกลาย อีกทั้งต้นมะขามยังเป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม ถือกันเป็นเคล็ดว่าจะทำให้มีแต่คนเกรงขาม
[แก้]ชื่อเรียกในภาษาอื่น ๆ

ภาษา ชื่อเรียก
ทมิฬ ปูลี,ปูลิ
ฝรั่งเศส ตามารีนีเยร์ (Tamarinier)
มลายู อาซาม
เยอรมัน ทามาราย
ลาว มอลขาม
สเปน ทามารินโด
สิงหล สยามบาลา
อังกฤษแถบฟลอริดา มะนิลา สวีท
อิตาลี ทามารินโด
อินเดีย อะมะลา, อะมะลิกา
อินโดนีเซีย อาซาม
จีน ซวนโต้ว
     มะนาว : สวยได้ เปรี้ยวด้วย
เคล็ดลับความสวยของเราคราวนี้ หาได้ในครัวอีกเช่นเดิมค่ะ ไม่ใกล้ไม่ไกลอย่าง “มะนาว” ไงคะ มะนาวลูกเดียวช่วยให้เราสวยได้ ทั้ง หน้า ผม เล็บ กันเลย แต่จะทำอะไรได้บ้างนั้น เรามาดูกันเลยค่ะ

          ในน้ำมะนาวนั้นนอกจากจะมีกรดอ่อนๆ ที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวใหม่แล้ว ยังมีวิตามินซีสูงอีกด้วยนะคะ เพราะฉะนั้น สาวคนไหนที่มีปัญหาเกี่ยวกับสิว หน้ามัน หรือหน้าตาหมองคล้ำเกินกว่าวัย น้ำมะนาวเป็นทางออกที่เหมาะสมกับสาวๆ กลุ่มนี้มากเลยค่ะ และเรามาสามารถประยุกต์น้ำมะนาวใช้แทนเครื่องสำอางค์หลายๆ ตัวได้ด้วยค่ะ

         แต่ถึงมะนาวจะมาจากธรรมชาติ ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้กันทุกคนนะคะ เพราะสาวๆ ที่ มีผิวหน้าบาง แพ้ง่าย หากรู้สึกแสบหน้าหรือผิวกาย หน้าเริ่มแดง ไม่ควรใช้น้ำผสมน้ำมะนาวล้างหน้า และไม่ควรพอกหน้าในสูตรที่ใช้น้ำมะนาวบ่อยๆ เพราะจะยิ่งทำให้หน้าแพ้ง่ายขึ้นเมื่อโดนแสงแดด ผิวบางลง คราวนี้แทนที่จะสวย อาจต้องเสียเงินไปหาหมอแทนนะคะ ใช้ให้ถูกสูตร ที่เหมาะกับหน้าเราค่ะ

     โทนเนอร์น้ำมะนาว 

          การใช้น้ำมะนาวล้างหน้านี้ ใช้แทนโทนเนอร์ได้เลยค่ะ โดยใช้น้ำมะนาว 1 ผล ผสมน้ำอุ่นสำหรับล้างหน้า และน้ำเย็น ล้างหน้าให้สะอาดและล้างครั้งสุดท้ายด้วยน้ำอุ่น ใช้ผ้าซับหน้าให้แห้ง และใช้มะนาวแช่เย็นทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น และใช้น้ำเย็นล้างหน้าอีกครั้ง สูตรนี้นอกจากจะเป็นการกระชับรูขุมขนแล้ว ยังช่วยให้เร่งให้มีการผลัดเซลล์ผิวอย่างธรรมชาติอีกด้วยค่ะ

     น้ำมะนาวแต้มสิว  

         สูตรแต้มสิวด้วยน้ำมะนาวเป็นตัวเอกนี้ ให้ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมส่วนผสมทั้งสองมาผสมกันและตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วแต้มที่ตุ่มสิวทิ้งไว้ 30 นาที ล้างออกด้วยโฟมหรือเจลล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ทำบ่อยๆ ประมาณ 1 เดือนสิวจะเริ่มลดลงและหายไปในที่สุดค่ะ ง่ายๆ แค่นี้ เจลแต้มสิวที่ไหนก็ชิดซ้ายค่ะ

     สครับมะนาว…ขาวกระจ่างใส

          สูตรนี้เหมาะสำหรับขัดผิวกายเท่านั้นนะคะ เพราะหากใช้กับใบหน้าตามสูตรนี้อาจจะแรงไปค่ะ และเหมาะสำหรับคนผิวมันด้วยค่ะ ใครที่ผิวแห้ง ข้ามสูตรนี้ไปก่อนนะคะ ไม่อย่านั้นผิวแห้งกันไปใหญ่ ไม่ดีแน่ๆ ค่ะ สูตรนี้นอกจากน้ำมะนาวตัวเอกแล้ว ก็ยังมีน้ำมันมะกอก และเกลือทะเลด้วยค่ะ เลือกที่บดไม่ต้องละเอียดมาก เพื่อจะได้มีเม็ดสครับที่พอเหมาะค่ะ

         เริ่มง่ายๆ ด้วยการนำเกลือมาผสมกับน้ำมันมะกอกกะเอาให้พอเหมาะกับขนาดรูปร่างเรานะคะ พอหนืดๆ อย่าให้เหลวไปค่ะ จากนั้นเติมน้ำมะนาวลงไปกะดูให้พอเข้มข้นพอ คนให้เข้ากันแล้วทำการสครับได้เลยค่ะ โดยเกลือจะทำหน้าที่ลอกผิวหนังที่ตายแล้วและทำความสะอาดผิวได้เป็นอย่างดี ส่วนน้ำมะกอกทำให้ผิวเกิดความชุ่มชื่น และน้ำมะนาวนี่เองที่ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น แต่ไม่ควรผสมเยอะเกินไปเพราะน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้เกิดการระคายเคือง ได้ค่ะ

     เล็บสวยด้วยมะนาว 

         น้ำมะนาวก็ช่วยให้เล็บเราสวยและแข็งแรงได้นะคะ วิธีการก็ง่ายแสนง่ายค่ะ แค่ฝานมะนาวพร้อมเปลือกออกเป็นซีกๆ แล้วเอามาขัดๆ ถูๆ ทำความสะอาดตามเล็บมือเล็บเท้าของเราค่ะ ถูไล่ไปตั้งแต่ผิวเล็บ ตลอดจนทุกซอกทุกมุมของเล็บเรา สูตรนี้ทำบ่อยๆ ได้ค่ะ เพราะเล็บเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว ไม่มีอาการแพ้แน่นอน รับรองว่าใครที่มีเล็บเหลืองจากการทาเล็บแบบไม่มีพัก จะได้เล็บขาวใสสวยๆ กลับคืนมาแน่นอนค่ะ

         น้ำมะนาวนอกจากจะอร่อย อุดมด้วยวิตามินซี ยังเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความงามขอสาวๆ ได้อีกด้วย อ่านแล้วก็อย่าลืมไปสำรวจมะนาวในครัวดูนะคะว่ามีเหลืออยู่กี่ลูก และจะสวยอะไรก่อนดี?
  สรรพคุณ และ ประโยชน์ของบวบ

สรรพคุณของบวบ และประโยชน์ของบวบมีมากมายจริงนะค่ะ และวันนี้ที่เราจะนำความรู้และ ประโยชน์ของบวบ มาบอกแก่คุณ ๆ ที่สนใจอีกด้วยนะค่ะ และบวบที่เรานำมาในวันนี้จะเป็น บวบเหลี่ยม ที่คุณพ่อบ้านแม่บ้านมักจะนิยมนำมาทำอาหาร อาทิเช่น บวบผัดไข่ แกงเลียง ฯลฯ ซึ่ง สรรพคุณของบวบ นั้นมีฤทธิ์เป็นยารักษาโรคได้อีกด้วยค่ะจึงจัดได้ว่า สรรพของบวบ ก็เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรด้วยนะค่ะ นั้นวันนี้เรามาดู สรรพคุณของบวบ และ ประโยชน์ของบวบ กันดีกว่าค่ะว่าจะช่วยในด้านสุขภาพร่างกายของเราอย่างไรกันบ้าง และส่วนที่มักจะนำมาปรุงเป็นยาก็จะมี ใบ ดอก ผล เปลือกผล ขั้วผล เมล็ด เถา น้ำจากจากเถาและรากค่ะ
 

 

 

 



 

 

สรรพคุณ / ประโยชน์ของบวบ


คุณค่าอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัมประกอบด้วย พลังงาน 18 กิโลแคลอรี น้ำ 95.4 กรัม โปรตีน 0.7 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.3 กรัม แคลเซียม 5 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 24 มิลลิกรัม เหล็ก 0.7 มิลลิกรัม วิตามินเอ 5 ไมโครกรัม และวิตามินซี 15 มิลลิกรัม ใบบวบเหลี่ยมใช้ต้มดื่ม ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ขับเสมหะ ถอนพิษไข้ แก้ริดสีดวงทวาร ถอนพิษแมลงกัดต่อย แก้คัน ผลบวบบำรุงร่างกาย ลดไข้ แก้ร้อนใน ระบายท้อง ขับเสมหะทำให้ชุ่มคอ รากใช้ต้มดื่มแก้อาการบวมน้ำ ระบายท้อง


ข้อมูลทางเภสัชวิทยา


- เมล็ด ที่มีรสขมจะมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายและมีฤทธิ์ทำให้อาเจียน ท้องเสีย และทำให้ท้องเสียอย่างรุนแรงเนื่องจากมีสาร elaterin ที่ทำให้ถ่าย

- ราก ก็มีฤทธิ์ทำให้ถ่ายได้เช่นกัน สำหรับสารพวกซาโปนิน (saponins)

- ใยผลของบวบเหลี่ยม สามารถใช้สระผมเพื่อรักษารังแคได้ 

- เมล็ดบวบเหลี่ยมชนิดขมที่แกะเปลือกออกแล้ว ใช้กินเป็นยาหล่อลื่นลำไส้หรือใช้รักษาโรคบิดแทน ipecacuanha ได้ดี และยังขับเสมหะ แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ส่วนน้ำมันที่บีบได้จากเมล็ดใช้ทารักษาโรคผิวหนัง นอกจากนี้ในเมล็ดยังมีสารไขมันประมาณ 37.5% โปรตีนประมาณ 33.4% และจะประกอบด้วยกรดอมิโนด้วย และเมล็ดบวบที่มีรสขมจะมีสาร cucurbitacin B 0.12% น้ำมันประมาณ 18.4% กรดไขมันอิ่มตัวประมาณ 19.34% unsaponified matters 1.5% กรดไขมันไม่อิ่มตัวประมาณ 80.3% กรดไขมัน ได้แก่ stearic acid, palmitic acid, linoleic, acid, oleic acid และ lignoceric acid เล็กน้อย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก rdi samunpri ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต
  สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะกรูด

มะกรูด คงจะไม่มีใครไม่รู้จักกับสมุนไพรชนิดนี้ใช่ไหมค่ะ ในสรรพคุณและประโยชน์ของมะกรูดนั้นเรียกได้ว่ามีมากมาย และที่โด่งดังเห็นทีจะเป็นในเรื่องของ สรรพคุณของมะกรูด ที่ใช้ในการรักษาเส้นผมให้สวย ดกดำ และเงางาม รวมถึงดูแลหนังศรีษะให้สุขภาพดีเนี่ยแหละค่ะ เห็นไม่คุ่ะว่า ประโยชน์ของมะกรูด มีมากจริง ๆ แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะค่ะ เพราะ สรรพคุณของมะกรูด และ ประโยชน์ของมะกรูด มีมากเหลือเกิน เราจึงก็รวบรวมความรู้เกี่ยวกับ สรรพคุณของมะกรูด และ ประโยชน์ของมะกรูด มาบอกคุณ ๆ ที่มักจะใช้มะกรูดและกำลังคิดจะใช้สมุนไพรตัวนี้ในการรักษาโรคต่าง ๆ รวมถึงนำมาปรุงอาหารอีกด้วยนะค่ะ นั้นเราก็มาดูสรรพคุณของมะกรูดและประโยชน์ของมะกรูดกันเลยค่ะ
 

 

 

 



 

 

สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะกรูด


ขับลมแก้จุกเสียด วิธีใช้


1. ตัดจุกผลมะกรูดคว้านไส้กลางออกเอามหาหิงส์ใส่แล้วปิดจุก นำไปเผาไฟจนดำเกรียมบดเป็นผงละลายกับน้ำผึ้งรับประทาน จะช่วยขับลม แก้ปวดท้องหรือป้ายลิ้นเด็กอ่อน เป็นยาขับขี้เทาได้
2. น้ำมะกรูดใช้ถูกฟัน แก้เลือดออกตามไรฟัน
3. เอาผลมะกรูดมาดอง เป็นยาดองเปรี้ยวรับประทานขับลมขับระดู
4. เปลือกผลฝานบาง ๆ ชงน้ำเดือดใส่การะบูรเล็กน้อย รับประทานแก้ลมวิงเวียน
5. เปลือกฝนใช้ผสมในเครื่องสำอางบางชนิด เช่น แชมพู สบู (เชษฐา, 2525)


ขนาดการใช้และผลที่ได้รับจากการรักษาโรค


- แก้ลม บำรุงหัวใจ ใช้ผิวสดหั่นเป็นชิ้น ผสมการะบูรหนึ่งหยิบมือ ชงน้ำเดือด คนให้ละลาย ปิดฝาทิ้งไว้ 3 – 5 นาที ดื่มเอาแต่น้ำ ช่วยให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดี
- ยาขับเสมหะ แก้ไอ ใช้ผลมะกรูดผ่าซีกเติมเกลือลนไฟให้เปลือกนิ่มบีบน้ำมะกรูดลงในคอทีละน้อย ๆ
- เป็นยาสระผมหรืออาบ นำมะกรูดผ่าซีกลงในหม้อต้มอาบได้น้ำมันหอมระเหยอยู่บนผิวทำให้ผิวไม่แห้ง และรสเปรี้ยวของมะกรูดช่วยให้อาบสะอาดนอกจากนี้ใช้มะกรูดผ่าซีกเอาน้ำมาสระผม

นอกจากมะกรูดจะยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ได้ดีแล้วยังมีรายงานว่าน้ำมันจากใบมะกรูดจะกระตุ้นการเจริญของเชื้อราบางชนิดได้อีกด้วย เช่น กระตุ้นการสร้างเส้นใยของราพวกมูเคอร์ อัลเทอร์นาเรีย แอสเปอร์จิลลัส และกระตุ้นการสร้างสปอร์ของแอสเปอร์จิลลัส (บัญญัติ, 2527)


สารเคมีที่สำคัญ


สารเคมีที่สำคัญที่พบในมะกรูดนี้จะอยู่ในส่วนของน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีทั้งในส่วนใบและเปลือกของผลที่เรียกว่า ผิวมะกรูด โดยที่ผิวมะกรูดจะมีน้ำมันหอมระเหย 4 เปอร์เซ็นต์ และใบจะมีน้ำมันหอมระเหย 0.08 เปอร์เซ็นต์

มะกรูดเป็นพืชเครื่องเทศและพืชสมุนไพรมนุษย์ได้รู้จักนำเอาประโยชน์ที่ได้รับจากมะกรูดเป็นยารักษาโรคหรือส่วนผสมของยา ช่วยแก้อาการท้องอืด ช่วยให้เจริญอาหาร ใช้ดองยาเพื่อใช้ฟอกเลือดและบำรุงโลหิตสตรี เนื้อของผลใช้เป็นยาแก้อาการปวดศีรษะและระงับการไอ ส่วนใบใช้ในการดับกลิ่นคาวในอาหารใช้เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด และผลมะกรูดที่คว้านไส้ออกนำมหาหิงค์ใส่แทนใช้เป็นยาแก้ปวดท้องในเด็กอ่อน ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องหอมและเครื่องสำอางและน้ำของมะกรูดมีกรด Citric ช่วยขจัดคราบสบู่ (ด่าง) ที่หลงเหลืออยู่ น้ำมันจากผิวมะกรูดช่วยให้ผมดกเป็นเงางาม นอกจากนี้ผิวมะกรูดจะมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ต่าง ๆ ได้ เพื่อกำจัดรังแคที่มาจากเชื้อรา

ขอขอบคุณข้อมูลจาก learners ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต
  น้ำมันมะพร้าวช่วยผิวสวย

 
ในบรรดาสิ่งของสารพัดที่สาวๆ เราพยามยามเฝ้าสรรหามาบำรุงผิว เราเคยถามตัวเองไหมคะว่า มันน่าจะมีอะไรที่บำรุงผิวเราได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาบรรดาสารเคมี บรรดาเครื่องสำอางต่างๆ ที่โฆษณาออกทีวีืหรือเห็นกันในนิตยสารมากมายที่ผ่านสายตาเรา ที่ถึงแม้เราจะเชื่อว่ามีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ด้วยความที่เราก็ไม่ได้รู้จักคนผลิตสักเท่าไร เราจะทราบได้อย่างไรว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะดีกับเราจริงๆ บทความนี้จะนำให้เพื่อนๆ รู้จักกับของที่เรามีอยู่และปลอดภัยในการใช้กับผิวแน่นอนมาให้ได้ใช้กัน ติดตามกันนะคะ
 
ถ้าจะถามว่า หากเราไม่ใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ขายกันอยู่อย่างดาษดื่นทุกวันนี้ แล้วเราจะไปใช้อะไร เราอาจจะเปลี่ยนคำถามใหม่สักหน่อยเป็นว่า "แล้วเมื่อก่อน คุณทวด คุณยายเรา ใช้อะไรในการบำรุงผิวกันล่ะ ถึงได้สวยได้เหมือนๆ กับเราที่สรรหาของสารพัดอย่างมาใช้กันอย่างยากเย็นเช่นทุกวันนี้" นั่นแน่ สาวๆ อาจจะต้องคิดว่าอยู่ดีๆ Womanandkid จะชวนถอยหลังย้อนยุคโบราณกันแน่แท้ แต่ช้าก่อนค่ะ เพราะของบางอย่างที่เป็นความรู้โบราณนี่แหละค่ะที่ได้รับการนำมาใช้ในโลกสมัยใหม่ เพียงแต่ว่าในขั้นตอนบางอย่างหรือการผสมสารเคมีบางอย่าง อาจจะนำมาหรือมีผลที่ไม่ดีตามมาได้ การย้อนไปใช้ในสิ่งที่เรารู้และเข้าใจมันจริงๆ บางทีก็น่าจะดีกว่าและปลอดภัยกว่า จริงไหมล่ะคะ
 
จะแปลกใจไหมล่ะคะถ้าจะบอกว่า ในสมัยคุณย่าคุณยายสวยๆ ของเรา (อ้าว ท่านก็ต้องสวยสิ ไม่อย่างนั้นจะทำให้เราสวยกันแบบนี้ได้หรือ จริงไหมคะ) ท่านรู้จักการใช้ของที่หาได้ใกล้ตัวหรือแม้กระทั่งจากในครัวนี่ล่ะค่ะมาบำรุงผิว สิ่งหนึ่งที่น่าฉงนกันสำหรับผู้ที่ไม่ทราบมาก่อนก็คือ "น้ำมันมะพร้าว" นี่ล่ะค่ะ (ถ้าจะบอกให้คลายความสงสัยลงสักนิด ก็คงต้องบอกว่า แม้แต่ในเครื่องสำอางปัจจุบัน ก็ยังคงมีการนำน้ำมันมะพร้าวมาเป็นส่วนผสมอยู่เช่นกัน แสดงว่าเป็นของดีมีประโยชน์จริงๆ ไงคะ) นอกจากน้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้ผิวสวยได้ด้วยการรับประทานในปริมาณเล็กน้อยแล้ว (อ่านรายละเอียดในบทความ "อาหารช่วยให้ผิวสวย" คลิกที่นี่) น้ำมันมะพร้าวยังมีคุณสมบัติในการดูดซึมลงผิวได้ดี ทำให้ผิวดูนุ่มนวลสดชื่นในขณะที่ช่วยต่อสู้อาการอักเสบของผิวได้ด้วย นอกจากการใช้กับผิว การทาหรือชะโลมน้ำมันมะพร้าวลงบนผมก่อนการสระก็จะเป็นการปรับสภาพเส้นผมได้ดีอย่างหนึ่ง และในเมื่อมันสามารถปรับสภาพเส้นผมได้ น้ำมันมะพร้าวก็สามารถนำมาใช้บำรุงคิ้วและขนตาได้เช่นกัน (แต่ก็ระวังอย่าให้เข้าตานะคะ)
 
นอกจากนี้ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสียหายของอวัยวะต่างๆ จากการรุกรานทำร้ายของอนุมูลอิสระต่างๆ ซึ่งก็เป็นเหตุผลหลักหนึ่งทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวช่วยบำรุงผิวพรรณรวมทั้งเส้นผมของสาวๆ เราได้ค่ะ โดยที่สาวๆ สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเพื่อ
 
1. กระตุ้นการเติบโตของเส้นผม น้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยบรรเทาอาการผมร่วงได้โดยการใส่น้ำมันมะพร้าวโดยเฉพาะน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin coconut oil) ลงบนเส้นผม นอกจากนั้นยังทำให้เส้นผมแข็งแรงอีกด้วย อาจจะเรียกได้ว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นครีมปรับสภาพเส้นผมวิเศษจากธรรมชาติเลยก็ได้ค่ะ

2. ช่วยทำให้ผิวพรรณนุ่มนวล ในปัจจุบันมีการนำน้ำมันมะพร้าวมาผสมในเครื่องสำอางเพื่อทำเป็นครีมเพิ่มความชุ่มชื้น เพื่อทำให้ผิวพรรณสดชื่นและกำจัดรอยด่างดำต่างๆ ของผิว โดยสามารถใช้ได้ทั้งเป็นโลชั่นหลังการอาบน้ำ ครีมเพิ่มความชุ่มชื้นสำหรับผิวหน้า หรือเป็นน้ำมันสำหรับการนวดผิวก็ยังได้อีก

3. ช่วยรักษาจัดการกับผิวที่เสียหาย ยิ่งไปกว่าการช่วยทำให้ผิวพรรณสวยงาม หลายๆ คนกล่าวจากประสบการณ์ว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยทำให้ผิวพรรณสวยงามได้โดยการลดความรุนแรงจากโรคผิวหนังบางชนิดลง ช่วยลดการติดเชื้อหรือการเติบโตของเชื้อราบางชนิด และช่วยลดกลิ่นกายได้ และยังช่วยป้องกันการเหี่ยวเฉาและจุดด่างดำได้อีกด้วย แหม ประโยชน์สารพัดเชียวนะคะเนี่ย

4. ช่วยบรรเทาอาการผมหงอก ยังค่ะ ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ถ้าท่านโทรหาเราภายใน... อ้าว ไม่ใช่แล้วค่ะ เพราะแม้จะไม่โทรติดต่อเราแต่นวดเส้นผมด้วยน้ำมันมะพร้าวผสมกับน้ำมะนาวเป็นเวลา 15 นาทีเป็นประจำทุกวัน จะทำให้เส้นผมดกดำได้จนอายุมากกว่าคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันค่ะ บางคนที่ใช้วิธีนี้ สามารถมีเส้นผมดกดำได้ถึงอายุ 60-70 ปีเลยนะคะ
 
เป็นไงบ้างคะกับประโยชน์สารพันรอบด้านของน้ำมันมะพร้าวกับความงามของเรา ข้อสำคัญก็คือ เราทราบว่าการใช้น้ำมันมะพร้าวกับผิวพรรณนั้นมีอันตรายน้อยมาก (ถ้าจะมี ก็แหม จะมีได้อย่างไรล่ะคะ ขนาดรับประทานยังได้เลยนี่นา กับแค่ใช้กับผิว เรื่องจิ๊บๆ ค่ะจริงไหม) ในบทความคราวหน้า เราจะลองดูว่าเราสามารถนำน้ำมันมะพร้าวมาผสมเป็นเครื่องบำรุงผิวได้อย่างไรบ้าง โปรดคอยติดตามกันนะคะ
 น้ำมันมะกอก เคล็ดลับ ผมสวย สองพันปี


………หนึ่งในเคล็ดลับความงามของพระนางคลีโอพัตรา ที่เล่าขานต่อกันมาจนบัดนี้ก็คือ “น้ำมันมะกอก” เพราะอุดมด้วยวิตามิน Bและวิตามิน E ที่ช่วยบำรุงผมสวยได้อย่างเห็นผล อีกทั้งโมเลกุลของน้ำมันมะกอกยังใกล้เคียงกับน้ำมันตามธรรมชาติซึมซาบง่าย ช่วยบำรุงหนังศีรษะให้ชุ่มชื่น แข็งแรง จึงมีการนำน้ำมันมะกอกมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมอย่างแพร่หลาย



………น้ำมันที่ดีต่อเส้นผมมากที่สุดคือ Olive Virgin Oil หรือน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ที่คั้นจากผลสดๆโดยไม่ผ่านความร้อน ซึ่งคงคุณค่าความสดใหม่ของวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระไว้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะ Hydroxytyrosol ที่ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระของเคราตินหรือโปรตีนที่คอยปกป้องเส้นผมได้เป็นอย่างดี เส้นผมจึงแข็งแรง ไม่เปราะหรือขาดง่าย

1.Honey & Olive Virgin Oil
นำน้ำผึ้ง 2 ถ้วยตวง ผสมกับน้ำมะกอก1/4ถ้วยตวง แล้วแบ่งส่วนหนึ่งมาชโลมผมให้ทั่ว เน้นบริเวณปลายผมเป็นพิเศษ จากนั้นคลุมผมด้วยหมวดอบไอน้ำทิ้งไว้สัก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง แล้วค่อยสระผมตามปกติ ส่วนที่เหลือแช่ตู้เย็นไว้ใช้ได้อีก

2.Olive Oil Wrap
*อุ่นน้ำมันมะกอก 2 ช้อนชาในไมโครเวฟ ทดสอบอุณหภูมิพออุ่นๆแต่ไม่ถึงกับร้อน
*ใช้น้ำมันมะกอกอุ่นๆ นวดหนังศีรษะเป็นวงกลมให้ทั่วอย่างเบามือ จากนั้นจึงนำน้ำมันที่เหลือนวดเส้นผมจากโคลนจรดปลาย
*นำผ้าขนหนูไปชุบน้ำอุ่น บิดพอหมาดแล้วเอามาพันศีรษะ ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วจึงสระผมตามปกติ

3.Twin “Mask”
สูตรนี้ผสานคุณค่าวิตามินบีแบบคูณสอง ด้วยการนำกล้วยหอม 1 ผล มาบดผสมกับน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ(สำหรับสาวผมสั้นลดกล้วยและน้ำผึ้งลงครึ่งหนึ่ง) นำมามาสก์ผมให้ทั่วตั้งแต่โคนจดปลาย ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วสระผมตามปกติ

………นอกจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะกอกแล้ว ในวันว่างเรายังทำทรีตเม้นต์น้ำมันมะกอกให้ดูแลเส้นผมเป็นพิเศษด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ลองเลือกสูตรที่ถูกใจคุณดูนะคะ
  สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะรุม

วันนี้เรามีสรรพคุณของมะรุมและประโยชน์ของมะรุมที่จัดว่าเป็นอีกสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งเลยค่ะ บางคนก็เรียก มะรุม ว่า ผักมะรุม ผลมะรุม แต่ยังไงก็คือ มะรุม นะค่ะ อิอิอิ ประโยชน์ของมะรุม ของมะรุมนั้นมีมากจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็นิยมนำมาทำอาหารได้หลายอย่างทั้ง ต้ม ผัด แกง ฯลฯ ส่วน สรรพคุณของมะรุม ก็นำมาทำเป็นตัวยาหลายอย่างเลยค่ะ แต่หากว่าอยากได้สุขภาพเวลานำมากประกอบอาหารต้องมาดู สรรพคุณของมะรุม และ ประโยชน์ของมะรุม กันเลยดีกว่าค่ะ








สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะรุม


คุณค่าทางอาหารของมะรุม

- ใบ ใบสดใช้กินเป็นอาหาร ใบแห้งที่ทำเป็นผงเก็บไว้ได้นานโดยยังมีคุณค่าทางอาหารสูง ใบมะรุมมีวิตามินเอสูงกว่าแครอท มีแคลเซียมสูงกว่านม มีเหล็กสูงกว่าผักขม มีวิตามินซีสูงกว่าส้มและมีโปแตสเซียมสูงกว่ากล้วย

- ดอกฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แก้หวัดHelminths ป้องกันมะเร็ง

- ฝัก ฝักมะรุม 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 32 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย เส้นใย 1.2 กรัม แคลเซียม 9 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม วิตามินเอ 532 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.05 มิลลิกรัม ไนอาซิน 0.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 262 มิลลิกรัม

- เมล็ด น้ำมันที่ได้จากการคั้นเมล็ดสดใช้เป็นน้ำมันปรุงอาหาร

- การปรุงอาหาร ในประเทศไทยฤดูหนาวจะมีมะรุมจำหน่ายทั่วไปทั้งตลาดในเมืองและในท้องถิ่น คนไทยทุกภาครับประทานมะรุมเป็นผัก ชาวภาคกลางนิยมนักมะรุมอ่อนไปปรุงเป็นแกงส้มและนำดอกมะรุมลวกให้สุกหรือดองรับประทานกับน้ำพริก สำหรับชาวอีสานยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อดอกอ่อนนำไปลวกให้สุกหรือต้มให้สุกรับประทานเป็นผักร่วมกับป่นแจ่ว ลาบ ก้อย หรือนำไปปรุงเป็นแกงอ่อม ส่วนฝักอ่อนหรือฝักที่ยังไม่แก่เต็มที่นำมาปอกเปลือกหั่นเป็นท่อนและนำไปปรุงเป็นแกงส้มหรือแกงลาวได้ นอกจากนี้ที่จังหวัดชัยภูมิยังรับประทานฝักมะรุมอ่อนสดเป็นผักแกล้มร่วมกับส้มตำโดยรับประทานคล้ายกับรับประทานถั่วฝักยาว และชาวบ้านเล่าว่าฝักมะรุมอ่อนนำไปแกงส้มได้โดยไม่ต้องปอกเปลือก ชาวเหนือนำดอกอ่อนฝักอ่อนไปแกงกับปลาในต่างประเทศ เช่น อินเดียมีการทำผงใบมะรุมไว้เป็นอาหารน้ำใบมะรุมอัดกระป๋อง
 ประโยชน์ของมะรุม

- ชะลอความแก่

กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin  และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และcaffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายได้

- ฆ่าจุลินทรีย์

สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์และเบนซิล-กลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ.2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู ปัจจุบันหลังจากการค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

- การป้องกันมะเร็ง

สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์ มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ 

การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาหารเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจาก การกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลองโดยกลุ่มที่กินมะรุมมีเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม

- ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล

จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก
 

 



 

 

สรรพคุณของมะรุม

มะรุมในทางการแพทย์จะช่วยใช้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน ควบคุมภาวะความดันโลหิตสูงช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย

- ใบ ใช้ถอนพิษไข้ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ แก้แผล ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับปัสสาวะ ป้องกันมะเร็ง ลดความดันโลหิต
- ยอดอ่อน ใช้ถอนพิษไข้
- ดอก ใช้แก้ไข้หัวลม เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันมะเร็ง
- ฝัก แก้ไข้ ป้องกันมะเร็ง ลดความดันโลหิต
- เมล็ด เมล็ดปรุงเป็นยาแก้ไข้ แก้บวม แก้ปวดตามข้อ ป้องกันมะเร็ง
- ราก รสเผ็ด หวาน ขม สรรพคุณ แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ รักษาโรคหัวใจ รักษาโรคไขข้อ (rheumatism)
- เปลือกลำต้น รสร้อน สรรพคุณขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อน ๆ แก้ลมอัมพาต ป้องกันมะเร็ง คุมกำเนิด เคี้ยวกินช่วยย่อยอาหาร
- ยาง (gum) ฆ่าเชื้อไทฟอยด์ ซิฟิลิส (syphilis) แก้ปวดฟัน earache, asthma

ขอขอบคุณข้อมูลจาก the-than ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

 แตงกวา ประโยชน์สารพัด



คุณมองเห็นอะไร...แตงกวาหรือตัวช่วยผิวจากการถูกแสงแดดทำลาย? (Health Plus)

          แตงกวามีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพซึ่งคุณอาจยังไม่รู้...

 แตงกวาอาหารของผิว

          เพราะอุดมไปด้วย วิตามินซี แคลเซียม ซิลิก้า และโปแทสเซียม แตงกวาจึงทำให้ผิวกระจ่างใส เส้นผมเป็นมันเงา เล็บแข็งแรง และช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เพื่อสุขภาพผิวที่ดี มาทำโทนเนอร์แตงกวากระชับรูขุมขนใช้เองดีกว่า นำแตงกวาครึ่งลูก ถั่วเฮเซลนัท 1 ช้อนโต๊ะ น้ำแร่ 1 ช้อนโต๊ะใส่ในเครื่องปั่นอาหาร นำส่วนผสมที่ได้มากรองด้วยผ้าขาวบางคั้นเอาแต่น้ำ ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออกโทนเนอร์ส่วนที่เหลือให้นำไปแช่ตู้เย็น เก็บได้ประมาณ 3 วัน

 ผิวไหม้เนื่องจากถูกแดดเผา

          บรรเทาอาการแสบผิวด้วยโลชั่นแตงกวาสูตรเย็นต่อไปนี้ดูสิ ผสมน้ำแตงกวาคั้น (เลือกลูกใหญ่ ๆ ) กับกลีเซอรีนครึ่งช้อนชา ทาบริเวณที่ถูกแดดเผา โลชั่นจะช่วยให้ผิวเย็นและเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยง ทั้งนี้เพราะแตงกวามีคุณสมบัติลดการอักเสบและคืนความชุ่มชื่นให้ผิว

 แสบเคืองตาใช่ไหม?  

          ถ้ามีอาการเคืองตา ตาบวมให้ใช้แตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแว่นวางบนตาประมาณ 10 นาที โดยให้นอนพักสายตาในห้องมืด เนื่องจากแตงกวามีวิตามินและเกลือแร่สูง ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูดวงตาให้กลับสดชื่นมีชีวิตชีวา

 ล้างพิษด้วยน้ำแตงกวา

          ถ้าคุณกำลังคิดจะทำดีท็อกซ์ ลองน้ำแตงกวาดูสิ เพราะมีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ และสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกาย มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย ด้วยรสชาติที่นุ่มนวลของแตงกวา จึงเหมาะที่จะนำมาผสมกับน้ำผลไม้ชนิดอื่น เริ่มต้นวันใหม่ของคุณด้วยเครื่องดื่มสูตรล้างพิษ และเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าต่อไปนี้ : แตงกวา 1 ผล คั้นเอาแต่น้ำ ใส่ขิงหั่นเป็นแว่นขนาดครึ่งนิ้วลงไป ดื่มทันที
 ประโยชน์ของกระเทียม





ทราบหรือไม่ว่า กระเทียมที่กินอยู่เป็นประจำมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก...

กระเทียมเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณในการบำบัดรักษาโรคได้หลายชนิด

- กินกระเทียมเป็นประจำ จะทำให้ผิวหนังสะอาด เพราะกระเทียมจะไปทำความสะอาดเลือด ช่วยให้ผิวหนังดีขึ้น รักษาผิวหนังที่เป็นตุ่มแผล ผิวหนังด่างดำ สิวและฝี

- กระเทียมช่วยลดความดันโลหิตสูง เพราะกระเทียมจะไปขยายเส้นเลือดให้กว้างขึ้น

- ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว เพราะกระเทียมจะไปยับยั้งการสร้างสารกรอมโปเซนบี 2 ซึ่งสารนี้เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เลือดจับตัวเป็นก้อน และเป็นสาเหตุทำให้ความดันโลหิตสูง

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ว่านห่างจระเข้ สมุนไพรสารพัดประโยชน์


ว่านห่างจระเข้ สมุนไพรสารพัดประโยชน์

ว่านห่างจระเข้ สมุนไพรสารพัดประโยชน์


 ว่านหางจระเข้

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          สมุนไพรไทย ๆ ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับหางแหลม ๆ ของจระเข้ จนได้ชื่อเรียกที่บ่งบอกถึงลักษณะได้ดีว่า ว่านห่างจระเข้ คืออีกหนึ่งพรรณไม้ไทยที่นิยมปลูกไว้ติดบ้าน นอกจากจะใช้ประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามแล้ว สรรพคุณต่าง ๆ ของว่านหางจระเข้ยังคุ้มค่าอีกด้วย ส่วนจะมีทีเด็ดขนาดไหนนั้น เราไปทำความรู้จักกับว่านหางจระเข้ให้มากขึ้นกันดีกว่า ..

          ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) คือ พืชชนิดหนึ่งที่ถูกจัดอยู่ในประเภทพืชล้มลุก สีเขียว มีลักษณะลำต้นเป็นข้อปล้อง ใบเดี่ยว ใบหนายาวและโคนใบใหญ่ ปลายแหลม ขอบใบมีหนามห่างกันเป็นระยะ เรียงเป็นชั้น ข้างในใบเป็นวุ้นใสสีเขียวอ่อน มีเมือกเหนียว สามารถออกดอกสีแดงอมเหลืองที่ปลายยอดได้ มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและตอนใต้ของทวีปแอฟริกา สามารถปลูกได้ง่ายในดินทราย หรือในกระถางก็ได้ เป็นพืชชอบน้ำ แต่ต้องมีทางระบายน้ำได้ดี ป้องกันไม่ให้อมน้ำมากเกินไปจนรากเน่า

ว่านหางจระเข้


สรรพคุณว่านหางจระเข้

          ว่านหางจระเข้นั้น จัดเป็นพืชที่มีสรรพคุณต่าง ๆ มากมาย สามารถใช้บรรเทาโรคทั้งภายนอกและภายในร่างกาย อีกทั้งยังใช้บำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย ดังนี้

 ประโยชน์ภายนอก

           1.รักษาแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก โดยปอกเปลือกนอก นำวุ้นสดภายในใบไปล้างยางออกให้สะอาด แล้วนำไปประคบแผลตลอด 2 วันแรก จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน สมานแผลให้เร็วขึ้น และไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นอีกด้วย

           2.ป้องกันและบรรเทารอยไหม้จากการออกแดด นำใบสด ๆ ของว่านหางจระเข้ผสมกับโลชั่นทาลงบนผิวหนังก่อนออกแดด จะช่วยป้องกันแสงแดดได้ แต่ถ้าหากเกิดรอยไหม้ขึ้นบนผิวหนังหลังออกแดดแล้ว ให้ใช้วุ้นที่ล้างสะอาดมาทาเพื่อลดอาการอักเสบ ถ้าจะให้ดีลองผสมกับน้ำมันพืช หรือ น้ำมันมะกอก เพื่อลดอาการผิวแห้งตึงจนเกินไป

           3.บรรเทารอยไหม้จากการฉายรังสีของผู้ป่วย โดยใช้วิธีการนำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างสะอาดมาประคบที่รอยไหม้จากการทำคีโม จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน และทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

           4.สมานแผลจากของมีคมและแผลถลอก หากได้รับบาดเจ็บจากของมีคม ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ที่ยังมีเมือกอยู่ แปะลงไปบนแผล จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสมานแผลให้เร็วขึ้นได้

           5.รักษาฝีและโรคริดสีดวงทวาร ทำความสะอาดบริเวณที่เกิดโรคให้แห้งแล้ว นำวุ้นไปแปะลงบนแผล หากเป็นทวารหนักให้ปอกวุ้นให้เป็นแท่งแล้วล้างให้สะอาด นำไปแช่เย็นให้แข็ง เพื่อสอดเหน็บในช่องทวารหนักวันละ 1-2 ครั้ง อาการริดสีดวงจะดีขึ้น

           6. รักษาตาปลาและฮ่องกงฟุต นำเนื้อวุ้นที่ล้างทำความสะอาดแล้ว ไปแปะลงบริเวณที่เกิดโรค หมั่นเปลี่ยนเนื้อวุ้นบ่อย ๆ โดยหากเป็นตาปลาส่วนที่แห้งลงจะเกิดรูบุ๋มขึ้น ให้ใช้ว่านหางจระเข้ประคบต่อไปจนกว่ารอยบุ๋มจะสมานและเล็กลง ส่วนฮ่องกงฟุตให้ด้วยว่านหางจระเข้เอาไว้จนกว่าแผลจะแห้งลงและอาการดีขึ้น

           7.แก้ปวดศีรษะ ตัดใบสดจากต้นว่านหางจระเข้ แล้วนำปูนแดงทาบริเวณวุ้น ถือใบสดแล้วนำวุ้นผสมปูนแดงประคบบริเวณขมับหรือท้ายทอย ตามจุดที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้

            8.บรรเทาอาการปวดฟัน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ออกเป็นแท่งเล็ก ๆ ประมาณ 2-3 เซ็นติเมตร นำไปเหน็บไว้ตามซอกฟันที่มีอาการปวด หรือประคบไว้ก็ได้ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที อาการปวดจะค่อย ๆ บรรเทาลง


 ประโยชน์ภายใน

           1.บรรเทาอาการปวดข้อ นำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างทำความสะอาดแล้วไปแช่ตู้เย็น และรับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวดตามข้อต่าง ๆ โดยสามารถใช้ได้ทั้งเนื้อวุ้น และน้ำวุ้น หากอยากให้รับประทานง่ายขึ้น สามารถนำไปปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ ก็ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน

           2. ใช้เป็นยาถ่าย โดยเลือกตัดว่านหางจระเข้พันธุ์เฉพาะที่ใบใหญ่และมีน้ำยางสีเหลืองในปริมาณมาก อายุประมาณ 9 เดือนขึ้นไป รองน้ำยางที่ไหลออกมาจากใบ แล้วนำไปเคี่ยวให้ข้น เทลงในพิมพ์ขนาดเล็กให้แข็งเป็นก้อนรับประทานเป็นยาได้ ซึ่งเม็ดยาจะมีสีแดงอมน้ำตาลไปจนถึงดำ เรียกว่า ยาดำ แบ่งรับประทานครั้งละประมาณ 0.25 กรัม (250 มิลลิกรัม) จะเป็นขนาดที่เหมาะสมในการใช้เป็นยาถ่าย หากต้องการรับประทานแบบสด ๆ ก็สามารถทำได้ โดยการตัดวุ้นที่ล้างสะอาดแล้วออกเป็นขนาด 3-4 เซ็นติเมตร แบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร

           3. แก้กระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบ ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ นำวุ้นที่ได้ไปล้างให้สะอาด แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินอาหารได้

           4. ป้องกันโรคเบาหวาน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร นำไปรับประทานทุกวัน หรือจะปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เพื่อรับประทานก็ได้ โดยอาการเบาหวานจะทุเลาลงสำหรับผู้ที่เป็นในระยะแรก ส่วนผู้ที่ต้องการรับประทานเพื่อป้องกัน สามารถรับประทานในปริมาณที่น้อยลงได้

           5.แก้และป้องกันอาการเมารถเมาเรือ ท่านที่มีปัญหาในการเดินทาง เกิดอาการเมารถเมาเรืออยู่เป็นประจำ ให้ลองรับประทานเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้ หรือน้ำว่านหางจระเข้ ก่อนออกเดินทางจะช่วยบรรเทาให้เกิดอาการดังกล่าวน้อยลงได้ แต่หากเกิดอาการเมารถเมาเรือขึ้นแล้ว ลองทานน้ำว่านหางจระเข้เย็น ๆ ให้ชื่นใจ แล้วนั่งพักสักครู่ จะรู้สึกดีขึ้น

ว่านหางจระเข้

 ประโยชน์ด้านความงาม

           1.บำรุงเส้นผมให้เงางามและช่วยขจัดรังแค ตัดใบสดมาทาลงบนเส้นผม หรือถ้าไม่สะดวกให้นำวุ้นว่านหางจระเข้ไปปั่นให้ละเอียดจะได้ใช้ง่ายขึ้น จากนั้นนำมาชโลมผมให้ทั่วเพื่อให้ผมสลวยเงางาม หากนวดบริเวณรากผมจะช่วยให้รากผมเย็นลง ช่วยบำรุงหนังศีรษะ รักษาแผลบนศีรษะ และขจัดรังแคได้ด้วย

           2.รักษาสิวและรอยด่างดำ ประโยชน์ข้อนี้คนที่อยากหน้าใสตั้งใจอ่านให้ดี เพราะว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ และมีกรดอ่อน ๆ ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ นำเนื้อวุ้นที่ล้างสะอาดทาบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้ง ใช้เวลาสัก 1-2 เดือน จะเริ่มเห็นผลว่ารอยต่าง ๆ ดูจางลง

           3.บำรุงผิวกาย เพียงแค่นำว่านหางจระเข้สด มาปอกเปลือกและล้างให้สะอาด จากนั้นหั่นเป็นชิ้นนำไปใส่ไว้ในถุงผ้ากอซขนาดเล็ก แล้วนำไปหย่อนไว้ในอ่างอาบน้ำ หรือถ้าไม่มีถุงผ้ากอซ ให้นำวุ้นไปแช่ไว้ในอ่างอาบน้ำเลยก็ได้เหมือนกัน โดยระหว่างอาบน้ำให้ใช้เนื้อวุ้นถูกตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เน้นที่รอยแห้งกร้านอย่างข้อศอก หัวเข่า ส้นเท้า เป็นต้น จะช่วยให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม และเต่งตึงขึ้น

           4. เติมน้ำให้ผิว ความชุ่มชื้นในผิวหน้าและผิวกาย มักจะค่อย ๆ ลดลงตามวัย และไลฟ์สไตล์ของคุณ ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตกันอยู่ในห้องแอร์จนผิวขาดความชุ่มชื้น หากนำเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้มาพอกหน้าก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยเติมน้ำให้ผิวของคุณได้ โดยล้างวุ้นให้สะอาด แล้วฝานบาง ๆ มาโปะให้ทั่วหน้า หลับตาพริ้มรอสัก 15 นาที ก็ไปล้างหน้าให้สะอาดได้ ผิวของคุณจะรู้สึกชุ่มชื้น เต่งตึงขึ้น หากจะใช้กับผิวกายให้ลองนำเนื้อไปปั่นหยาบ ๆ แล้วนำมาพอกตัว ก็ใช้ง่ายดีเหมือนกัน

ว่านหางจระเข้ทาหน้า

 สูตรพอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้

          นอกจากสรรพคุณทางยาต่าง ๆ แล้ว ว่านหางจระเข้ก็ยังนำไปประยุกต์ใช้เพื่อความสวยความงามได้เช่นกัน สูตรว่านหางจระเข้พอกหน้า จึงขาดไม่ได้สำหรับคนรักสวยรักงาม เตรียมปากกาจดสูตรกันได้เลยจ้า

           1.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา, น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วใช้พอกหน้าเพื่อลดความมัน และจุดด่างดำได้

           2.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1.5 ช้อนโต๊ะ, ไข่ขาว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ ทำให้เกิดสิวลดลง

           3.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1.5 ช้อนโต๊ะ, น้ำแตงกวาสด 1-2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันนำไปพอกหน้า จะช่วยลดความมันบนใบหน้า และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ให้ผิวหน้าสดชื่นขึ้น

           4.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ, นมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปพอกหน้า จะช่วยให้ใบหน้ากระจ่างใสขึ้น และลดความมันบนใบหน้าด้วย

           5.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ, ขมิ้นผง 2 ช้อนชา, นมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน แล้วพอกหน้าเพื่อลดความมัน และเพิ่มความกระจ่างใส โดยสามารถฝานแตงกวาเป็นแว่นมาแปะไว้บริเวณรอบดวงตาก็ได้


ครีมว่านหางจระเข้

 ผลิตภัณฑ์จากว่านหางจระเข้

          เมื่อสรรพคุณของว่านหางจระเข้มีอยู่มากมายรอบด้านขนาดนี้ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากว่านหางจระเข้ก็ย่อมต้องทยอยออกมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคมากขึ้นปัจจุบันจึงมีผลิตภัณฑ์ที่ถูกแปรรูปจากว่านหางจระเข้อยู่หลากหลาย ดังนี้

           1.เจลว่านหางจระเข้ สรรพคุณ ใช้ทาเพื่อลดอาการบวม เป็นครีมทาใต้ตา บำรุงผิวหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น ใช้ผสมกับส่วนผสมต่าง ๆ พอกหน้าแทนวุ้นว่านหางจระเข้ได้ ทั้งยังใช้ทาแผลพุพอง แผลสด เพื่อบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้อีกด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านการยิงเลเซอร์ และมีรอยไหม้แดงบนใบหน้า จะทำให้บรรทาอาการลงและฟื้นตัวเร็วขึ้น

           2.ครีมว่านหางจระเข้ ก็มีสรรพคุณเดียวกันกับเจลว่านหางจระเข้ แตกต่างกันที่เนื้อผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์เข้มข้นกว่า อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีหน้ามัน เพราะเนื้อครีมจะให้ความรู้สึกหนักกว่าเนื้อเจล แต่ค่อนข้างเหมาะกับผู้ที่มีหน้าแห้ง เพราะจะให้ความชุ่มชื้นที่มากกว่า

          ทั้งนี้นอกจากเจลว่านหางจระเข้และครีมว่านหางจระเข้แบบทั่วไปแล้ว ยังถูกต่อยอดออกไปเป็นเจลล้างหน้าว่านหางจระเข้ เจลและครีมว่านหางจระเข้แบบผสมสารกันแดด นอกจากนี้ยังมีน้ำว่านหางจระเข้สำหรับดื่มอีกด้วย โดยสรรพคุณไม่แตกต่างจากว่านหางจระเข้สดมากนัก

          รู้จักสรรพคุณและสูตรต่าง ๆ ของว่านหางจระเข้กันแล้ว คงต้องเตรียมหาว่านสารพัดประโยชน์ชนิดนี้มาปลูกไว้คู่บ้านกันบ้างแล้วล่ะ รับรองได้ว่าคุ้มเกินคุ้มจริง ๆ จ้า